เป็นประเด็นร้อนแรงในปัจจุบันเพราะทั้งแบรนด์แอปเปิลและซัมซุง ต่างก็ได้สร้างมาตรฐานกล้องถ่ายภาพบนสมาร์ทโฟนได้ยอดเยี่ยมมาโดยตลอดและทุกครั้งที่สมาร์ทโฟนของทั้งสองค่าย

โดยเฉพาะรุ่นแฟลกชิปที่เพิ่งเปิดดัวไปกับ Galaxy Note 4 จากซัมซุงและ iPhone 6 Plus จากแอปเปิลที่ตอนนี้อยู่ในกระแสร้อนแรงทิ้งท้ายปี 2014 ไปทั่วโลก

news

คำถามยอดฮิตที่ผู้อ่านทุกคนทั่วโลกอยากรู้มากที่สุดนอกจากเรื่องสเปกและฟีเจอร์ใหม่ก็คือ “คุณภาพกล้องถ่ายภาพเป็นอย่างไรและกล้องใครเจ๋งกว่ากัน”

โดยสื่อต่างประเทศหลายสำนัก เช่น PhoneArena หรือสื่อกระแสหลักอย่าง The Straits Times ก็ได้นำเสนอข้อมูลเทียบกล้องหลักของทั้ง iPhone 6 Plus และ Samsung Galaxy Note 4 และต่างยกย่อย Galaxy Note 4 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมที่สุด

โดยเฉพาะเรื่องสีสัน การเก็บรายละเอียดภาพและกล้องหน้าแบบกว้างพิเศษ 120 องศาที่ทำคะแนนดีกว่า iPhone 6 Plus อย่าง PhoneArena ให้คะแนนรวม Galaxy Note 4 สูงถึง 9 คะแนน ในขณะที่ iPhone 6 Plus ได้คะแนน 8.67 คะแนนเท่านั้น

อีกทั้ง Galaxy Note 4 ยังมีคะแนนทดสอบทุกด้านยอดเยี่ยมติดอันดับที่ 1 จากผลทดสอบสมาร์ทโฟนเรือธง 7 รุ่นที่วางตลาดในปัจจุบัน

วันนี้ก็ถือเป็นฤกษ์ดีที่เราได้รับสมาร์ทโฟนสุดฮิตทั้งสองรุ่นมาทดสอบกันอย่างละเอียดโดย ผลทดสอบจะเป็นอย่างไรติดตามอ่านได้ต่อจากนี้

ตรวจสเปกกล้อง

ก่อนจะเข้าสู่ส่วนทดสอบประสิทธิภาพกล้อง เรามาสำรวจสเปกกล้อง Samsung Galaxy Note 4 และ Apple iPhone 6 Plus กันก่อน

เริ่มจาก Apple iPhone 6 Plus ความละเอียดภาพสูงสุดจะอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล (3,264×2,448 พิกเซล) ระยะเลนส์ที่เลือกใช้เมื่อเทียบกับกล้องฟูลเฟรม 35 มิลลิเมตรอยู่ที่ 29 มิลลิเมตร

พร้อมปรับเพิ่มระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบฮาร์ดแวร์ (Optical image stabilization) และใส่เซ็นเซอร์ออโต้โฟกัสแบบ Phase detection ที่ช่วยให้ระบบออโต้โฟกัสทำงานได้รวดเร็วขึ้นในที่แสงน้อยพร้อมไฟแฟลชแบบ LED ทูโทนที่แอปเปิลเชื่อว่าจะช่วยแก้ปัญหาภาพสว่างจ้าเวลาถ่ายภาพบุคคลตอนกลางคืนได้

ส่วนกล้องหน้าให้ความละเอียดภาพสูงสุด 1.2 ล้านพิกเซล ชุดเลนส์เป็นแบบเดียวกับไอโฟน 5s

มาถึง Samsung Galaxy Note 4 ความละเอียดภาพสูงสุดถูกเพิ่มเป็น 16 ล้านพิกเซล (3,456 x 4,608 พิกเซล) จากรุ่นก่อนหน้า ระยะเลนส์ที่เลือกใช้เมื่อเทียบกับฟูลเฟรม 35 มิลลิเมตรจะอยู่ที่ 31 มิลลิเมตร พร้อมระบบป้องกันภาพสั่นไหวแบบฮาร์ดแวร์ (Optical image stabilization) ไฟแฟลชแบบ LED ดวงเดียวแต่ควบคุมความเข้มของแสงผ่านซอฟต์แวร์ในสมาร์ทโฟน

ในส่วนกล้องหน้าค่อนข้างโดดเด่นจากคู่แข่งมาก เพราะซัมซุงเลือกปรับเปลี่ยนเลนส์กล้องใหม่ให้มีความกว้างมากขึ้นและรองรับความละเอียดภาพสูงถึง 3.7 ล้านพิกเซลพร้อม Beauty Mode หน้าใส เด้ง ไร้สิว และฟีเจอร์พิเศษ Wide selfie ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพเซลฟีกลุ่ม (มากกว่า 5 คนขึ้นไป) ได้ง่ายด้วยมุมกล้องที่สามารถถ่ายได้กว้างถึง 120 องศา

อีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้สเปกกล้องถ่ายภาพก็คือ ส่วนเซ็นเซอร์รับภาพที่ต่างคนต่างปรับแต่งใหม่เพื่อจุดประสงค์เดียวกันคือการรับแสงในที่แสงน้อยจะทำได้ดีขึ้นรวมถึงไดนามิก มิติของภาพที่ได้รับการพัฒนาขึ้น

แต่ดูจากสเปกของเซ็นเซอร์ที่ปรับใหม่แล้ว ฝั่งซัมซุงจะได้เปรียบกว่าด้วยเซ็นเซอร์รับภาพขนาดใหญ่ 1/2.6 นิ้ว รูรับแสงกว้างสุด f2.0 ในขณะที่ iPhone 6 Plus ใช้ขนาดเซ็นเซอร์รับภาพแค่ 1/3 นิ้วพร้อมรูรับแสงกว้าง f2.2 เท่านั้น

นอกจากนั้นด้วยสเปกของหน่วยประมวลผล Exynos 5433 Octa-core แบบ 64 บิตและแรมที่ให้มาถึง 3GB ใน Galaxy Note 4 ทำให้การถ่ายวิดีโอจะสามารถเลือกความละเอียดได้มากกว่า iPhone 6 Plus ถึง 4 เท่า (4K) ที่ความละเอียดสูงสุด 3,840×2,160 พิกเซล หรือจะเลือกความละเอียด 2K 1080p 720p หรือ 480p

ในขณะที่ iPhone 6 Plus สามารถถ่ายวิดีโอได้ที่ความละเอียด 1,920×1,080 พิกเซลขนาดเดียวเท่านั้น

คนที่ต้องการใช้ไฟล์วิดีโอความละเอียดไม่สูงแบบเร่งด่วน อย่างไร Galaxy Note 4 จะตอบสนองได้ดีกว่า iPhone 6 Plus ที่ต้องมานั่งแปลงวิดีโอให้เสียเวลาก่อนส่ง

และถ้านับรวมกับฟีเจอร์ตกแต่งภาพ โหมดถ่ายภาพอัตโนมัติแบบวิเคราะห์สถานการณ์ได้เอง และความอิสระในการปรับแต่งค่าต่างๆ Galaxy Note 4 ทำได้อิสระและเหนือชั้น iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาก

เพราะแอปเปิลเน้นเรื่องการใช้งานที่ง่ายเกินไป ถึงแม้ตัวระบบ iOS 8 จะรองรับกับแอปฯ กล้อง 3rd Party ติดตั้งเสริมภายหลังได้ แต่ก็เชื่อว่าคงไม่สะดวกเท่ากับระบบกล้องที่มีลูกเล่นมาให้ในตัวแน่นอน

 

เริ่มกันที่ภาพแรก เป็นแสงธรรมชาติจากหน้าต่างที่อยู่ด้านขวาของภาพและจับโฟกัส-วัดแสงบริเวณกึ่งกลาง

สิ่งที่ได้หลังกดชัตเตอร์จะเห็นว่าเรื่องของการรับแสงและสีสันที่ได้ไม่แตกต่างกันมากนัก แต่เมื่อลองรับชมแบบตัดภาพซูม 100% จะเห็นว่าด้านการเก็บรายละเอียดภาพ Galaxy Note 4 ทำได้ดีกว่า iPhone 6 Plus มาก

ส่วนเรื่องสมดุลแสงขาวในส่วนของ iPhone 6 Plus จะติดโทนเหลือง อุ่นๆ ส่วน Galaxy Note 4 จะออกโทนฟ้า คอนทราสต์เข้มกว่า iPhone 6 Plus เล็กน้อย

ภาพที่สองกับการทดสอบไฟแฟลช โดย iPhone 6 Plus เป็นไฟแฟลช LED แบบทูโทน ขาว-ส้ม ส่วน Galaxy Note 4 เป็น LED สีขาวอย่างเดียว โดยการเลือกจุดวัดแสงจะอยู่ที่กลางฝ่ามือ ระยะถ่ายใกล้เคียงกันทั้งสองภาพ อาจแตกต่างที่มุมเล็กน้อยเนื่องจากถ่ายคนละรอบ

ผลลัพท์ที่ได้หลังกดชัตเตอร์ค่อนข้างแตกต่างกันชัดเจนมาก โดย iPhone 6 Plus ให้แสงแฟลชที่จ้ากว่าแถมติดโทนเหลืองเล็กน้อย รายละเอียดของลายมือไม่ชัดเจน ส่วน Galaxy Note 4 เก็บรายละเอียดของภาพได้ดีกว่ามาก

แถมการควบคุมไฟแฟลชยังทำได้ดี (สังเกตพื้นหลังสีขาวออกเทาทำได้เนียนมาก) เพราะก่อนถ่ายระบบจะยิงไฟแฟลชเพื่อวัดระยะโฟกัสและคำนวณการปล่อยแสงแบบหลักการเดียวกับกล้องดิจิตอลทั่วไป

และเมื่อชัตเตอร์ทำงานแล้ว ระบบประมวลผลภาพภายในจะทำการเพิ่มความคมชัดและดึงรายละเอียดของภาพ รวมถึงจัดสมดุลของแสงอีกครั้ง

มาถึงการทดสอบในที่แสงน้อยมากระดับห้องมืดเหลือแค่แสงจากประตูเท่านั้นพบว่า ภาพรวมทั้ง iPhone 6 Plus และ Galaxy Note 4 ทำได้ค่อนข้างน่าพอใจ

แต่เมื่อลองมองรายละเอียดให้ลึกลงไปจะเห็นได้ว่า ถึงแม้ iPhone 6 Plus จะจัดการเรื่องสัญญาณรบกวนได้ดีพร้อมดึงรายละเอียดของภาพในที่แสงน้อยได้ดีกว่า แต่สำหรับเรื่องสีเป็นสิ่งที่ iPhone 6 Plus สอบตก เนื่องจากโทนสีทั้งหมดจะออกตุ่นๆ และเพี้ยนมาก

ลองมองดูง่ายๆ จากธนบัตร 500 บาท ทุกคนทราบดีอยู่แล้วว่าธนบัตรใบนี้ต้องเป็นสีม่วง แต่ iPhone 6 Plus กลับให้สีธนบัตร 500 บาทใบนี้ออกเป็นสีม่วงออกปนเทาและมีติดสีเขียวเล็กๆ

ในขณะที่ Galaxy Note 4 ให้สีม่วงที่ชัดเจนกว่า แถมการที่ตัวกล้องมีระบบวิเคราะห์ภาพที่ถ่ายและมองสถานการณ์แบบนี้เป็น Night Scene ทำให้ภาพถูกปรับส่วนความสว่างและความสดของสีที่ถูกความมืดมิดกลืนกินเพิ่มขึ้นอย่างอัตโนมัติด้วย

อีกหนึ่งสถานการณ์ที่ทีมงานปรับไปใช้โหมดพิเศษอย่าง HDR ที่มีใน iPhone 6 Plus และ Galaxy Note 4 ผลลัพท์ที่ได้ยอมรับว่า HDR แบบ Rich Tone ใน Note 4 ค่อนข้างแรงและทำให้หน้าจอสีแดงแสดงผลผิดเพี้ยนไปเล็กน้อย ในขณะที่ iPhone 6 Plus ให้สีและรายละเอียดภาพที่ตรงกว่า

แต่เมื่อเราลองมาตัดซูมภาพ 100% หรือมองด้วยมุมมองภาพรวมบริเวณพลาสติกเหนือเข็มวัดความเร็ว สิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นว่าถึงแม้จะเปิด HDR แบบ Rich Tone ใน Galaxy Note 4 แต่รายละเอียดของภาพ

โดยเฉพาะมิติ ไดนามิกภาพกลับเหนือกว่า iPhone 6 Plus ที่เมื่อเปิด HDR แล้ว มิติ ความลึก ไดนามิกและรายละเอียดภาพที่ได้จะต่ำลงมาก

มาดูเรื่องการใช้กล้องเป็นสแกนเนอร์คัดลอกเอกสารกันบ้าง การทดสอบก็ง่ายๆ เปิดไฟแฟลชและถ่ายตรงๆ กับหน้ากระดาษเอกสาร สิ่งที่เกิดขึ้น Galaxy Note 4 ทำได้ดีกว่าตามระเบียบ แถมไฟแฟลชยังยิงเป็นสีขาวช่วยให้สีกระดาษเหมือนจริงกว่า iPhone 6 Plus ที่สีออกน้ำตาล แถมตัวอักษรยังคมชัดสู้ Note 4 ไม่ได้เลย

ส่วนผู้อ่านที่มีข้อสังสัยว่าความละเอียดภาพ 16 ล้านพิกเซลใน Galaxy Note 4 เทียบกับ 8 ล้านพิกเซลใน iPhone 6 Plus จะมีประโยชน์อย่างไร ลองรับชมภาพประกอบด้านบน

สุดท้ายถึงเวลาชำแหละฟีเจอร์เด่นของกล้องหน้ากับ Wide selfie จากภาพประกอบด้านบนคงจะพอเข้าใจรูปแบบการทำงานของฟีเจอร์ดังกล่าวแล้วว่า Wide selfie จะเป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยแก้ปัญหาการเซลฟีแบบกลุ่มที่กำลังเริ่มได้รับความนิยมได้ง่ายด้วยการใช้หลักการพาโนรามาแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ตรงกลาง ซ้ายและขวาจากนั้นเมื่อเสร็จสิ้นระบบจะรวมเป็นภาพเดียวด้วยมุมมองกว้าง 120 องศา

แน่นอนว่า Wide selfie จะต่างจากเซลฟีด้วยกล้องหน้าปกติที่จะได้มุมภาพที่แคบกว่าเป็นเท่าตัว แม้ปัจจุบันหลายแบรนด์จะพัฒนากล้องหน้าให้มาพร้อมเลนส์มุมกว้างพิเศษแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างไรถ้ามองในความเป็นจริง ถึงอย่างไรฟีเจอร์ Wide selfie ก็ให้ผลลัพธ์ภาพมุมกว้างที่เหนือกว่า

สรุปจากรูปแบบการทดสอบทั้ง 7 รูปแบบกับกล้องใน Samsung Galaxy Note 4 และ Apple iPhone 6 Plus ผู้อ่านหลายท่านคงได้เห็นถึงความแตกต่างและน่าจะตอบคำถามที่หลายท่านสงสัยกันได้

แต่ในมุมมองของผู้เขียนเอง ถ้าถามว่าตอนนี้ผลทดสอบทั้งหมดสามารถบอกได้หรือไม่ว่า กล้องใครเจ๋งกว่ากัน ก็คงต้องเรียนตามตรงว่า “กล้องถ่ายภาพทั้งด้านหน้าและหลังของ Samsung Galaxy Note 4 ทำคะแนนได้ดีกว่า iPhone 6 Plus มาก” โดยเฉพาะการเก็บรายละเอียด ไดนามิก สีสันภาพ Note 4 ทำได้ดีกว่า

ในขณะที่คุณภาพไฟล์ภาพจาก iPhone 6 Plus นั้นแทบไม่แตกต่างจาก iPhone 5s ยกเว้นแค่เรื่องรับแสงในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น โฟกัสเร็วขึ้นและมาพร้อมฮาร์ดแวร์ป้องกันภาพกันสั่นที่คู่แข่งมีมาก่อนหน้าเป็นปีเท่านั้นจริงๆ


ขอขอบคุณข่าวจาก