ผี

ผี

สิ้นเสียงนกหวีดจบ 90 นาที เหมือนสิ้นใจเหล่าสาวก “หงส์แดง”…กับความพ่ายแพ้อันแสนเจ็บปวดที่ถูก “ปีศาจแดง” บุกมาย้ำแค้นได้อีกครั้ง!!

จากเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา ที่แฟนบอลทั่วโลกตั้งตารอคอยกับ “ศึกแดงเดือด” โดยเฉพาะแฟนคลับ”หงส์”ที่อยากเห็นการชำระแค้นคืน..แต่ทว่ามันไม่เป็นอย่างนั้นซิครับ!

แต่กลับต้องเจ็บปวดมากกว่าเดิม เมื่อถูก แมนฯ ยูฯ บุกมาเชือด 2-1 ถึงถิ่น งานนี้เลยเชื่อว่า…สาวก “หงส์แดง”(ทั่วโลก) อาจจะต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับไปอีกหลายคืนเลยทีเดียว..(เพราะเพื่อนแมรงงงง..ล้อไม่เลิก)

ซึ่งสถิติก่อนเกมของเจ้าถิ่น “หงส์แดง” ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว เพราะนับตั้งแต่พ่ายศึกแดงเดือดที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ปีที่แล้ว ลูกทีมของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส นั้นยังไม่เคยเพลี่ยงพล้ำพลาดท่าให้ทีมใดมา 13 นัดแล้ว โดยเก็บชัยชนะได้ถึง 10 นัด แถม 5 นัด ล่าสุดในลีกก็ยัดเยียดความปราชัยให้คู่แข่งได้ทั้งหมด

ด้วยระบบการเล่นที่ลงตัวทั้งเกมรุกและรับบวกกับความมั่นใจของนักเตะ (พลังหนุ่ม) ที่มีมากขึ้น ส่งผลถึงฟอร์มการเล่นที่ร้อนแรงแบบสุดติ่งกระดิ่งแมวอย่างที่เห็น (และนั้นอาจหมายถึงโอกาศในการลงสนามของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด) และจากที่สาวก “หงส์แดง” เคยส่ายหน้ากลับมา “เชื่อถือและศรัทธา” นายใหญ่ชาวไอริชอีกครั้ง

ส่วนทางด้านทีมเยือน ยูไนเต็ด ดูน่าเป็นห่วงมากกว่ากับฟอร์มชวนหลอน แถมตอนนี้ยังหา 11 ตัวจริงไม่ได้เลย (จะจบฤดูกาลอยู่ละ) แต่ล่าสุดกับเกมที่เปิดบ้านชนะสเปอร์ส 3-0 นั้นถือว่าเป็นเกมที่ดีที่สุดในซีซันนี้ก็คงไม่ผิด..เพราะทุกคนก็คิดอย่างนั้น (แต่เอาเหอะภาพรวมก็ยังดูดีขึ้นมาเหมือนกัน)

ดูจากองค์ประกอบแล้วคงไม่มีใครย่อมใครแน่ “ด้วยศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ” บวกกับการเดิมพันด้วยตั๋วแชมป์เปี้ยนลีกปีหน้า เลยเชื่อว่าจะเป็นเกมที่ร้อนระอุแบบสุดๆ ที่ทั้งสองทีมจะต้องพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง

โดยประตูออกนำ 1-0 ของ แมนฯ ยูฯ ได้มาในนาทีที่ 14 จากการจ่ายบอลทะลุช่องของ อันเดร์ เอร์เรร่า ให้ ฆวน มาต้า หลุดกับล้ำหน้าเข้าไปนั้น เกิดจากแนวรับลิเวอร์พูลประกบตัวห่างเกินไป

เกมผ่านไปครึ่งชั่วโมงของครึ่งแรกพลพรรค “ปีศาจแดง” ทำได้ดีจากการครองบอลที่มากกว่าบวกกับการส่งบอลที่แม่นยำอย่างเห็นได้ชัด

แต่ น.34 เจ้าถิ่นกับเสียโอกาสได้ประตูตีเสมออย่างน่าเสียดายไม่น้อย จากลูกวิ่งมาแปเน้นๆ ของ อดัม ลัลลาน่า หลุดกรอบออกไปแบบน่าเขกกระโหลก สรุปครึ่งแรกแมนฯยูฯ เล่นดีกว่าแถมสกอร์ก็นำอยู่ 1-0

ครึ่งหลังถือเป็นงานหนักของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็ว่าได้ เลยส่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด มาแทนลัลลาน่า หวังแก้อาการปวดหัว แต่กลับต้องกินยาลดความดันเพิ่มอีก เมื่อมาถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม

หลังไปย่ำใส่ อันเดร์ เอร์เรร่า ต่อหน้าต่อตา มาร์ติน แอ็ตกินสัน ทั้งที่เพิ่งเหยียบสนามได้เพียงแค่ 45 วินาทีเท่านั้น เล่นทำเอาแฟนหงส์ช็อกไปชั่วขณะกับเหตุการณ์นี้

สถานการณ์เลวร้ายขึ้นอีกเมื่อมาเสียประตูที่สอง จากลูกยิงสุดสวยของ ฆวน มาต้า ที่สามารถส่งประกวดได้เลย จากจังหวะกระโดดลอยตัววอลเลย์ในเขตโทษ น.59

แต่ไม่น่าเชื่อหลังจาก “เดอะค็อป” เหลือ 10 คนกลับเล่นได้ดีอย่างผิดหูผิดตา และมาได้ประตูตีไข่แตกไล่มา 1-2 ที่ ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ แทงทะลุช่องให้ สเตอร์ริดจ์ ยิงด้วยขวายัดเสาแรกเข้าไป นาทีที่ 69

หลังจากนั้น ลิเวอร์พูล เล่นเป็นทรงมากขึ้นและโหมบุกใส่ “ขุนพลผีแดง” แบบได้น้ำได้เนื้อเหมือนกัน

แต่เจ้าถิ่นก็มาพลาดช่วงทดเจ็บอีกจนได้เมื่อมาเสียจุดโทษ แต่โชคยังดีที่ เวย์น รูนี่ย์ ยิงไม่เข้า จบเกม แมนฯ ยูไนเต็ด บุกมาชนะ 2-1 หยุดสถิติของลิเวอร์พูลไม่แพ้ใครในลีก 13 นัดติดอย่างเจ็บแสบ

“สรุปเกมนี้ที่ผมเห็นในครึ่งแรกลูกทีมของ ฟาน กัล เล่นแบบเต็มพื้นที่ ทำให้เกิดช่องกว้างในการส่งบอลที่แม่นยำและเล่นด้วยความมั่นใจกว่าเยอะ ส่วนลิเวอร์พูลครองบอลน้อยแถมเสียบอลกันง่ายเกินไป”

“ส่วนครึ่งหลัง แมนฯยูฯ เล่นแบบชะล่าใจ หลังจากที่เจ้าถิ่นเหลือ 10 คน เลยไม่ค่อยเข้าไปไล่กดดันปล่อยให้ลูกทีม ร็อดเจอร์ กลับมาสู่กลับอีกครั้ง และสร้างโอกาศยิงได้มากกว่า”

แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายนี้ “มันก็คือวันที่ใช่ของ ฆวน มาต้า แต่เป็นวันที่ไม่ใช่ของ เจอร์ราร์ด” เพราะสองคนนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกมนี้โดยตรง!!

ชัยชนะของ..”ปีศาจแดง” ในครั้งนี้ ที่สามารถย้ำแค้นได้อีกครั้ง..ก็ยังเชื่อว่าคงจะไม่ทำให้บัลลังก์จ่าฝูงของทัพ “สิงห์บลูส์” เชลซีสั่นคลอนอย่างแน่นอน

ยังไงเราคงต้องติดตามลุ้นและคอยเอาใจช่วย ผลงานของพลพรรค “เร้ดอาร์มี่” ว่าจะสามารถยึดตำแหน่งท็อปโฟร์คว้าตั๋วไปเล่นถ้วยใหญ่ยุโรปฤดูกาลหน้าต่อไป ได้หรือไม่?

ให้สมความตั้งใจที่เป็นเป้าหมายเดียวที่เหลืออยู่ในฤดูกาลนี้ของ “หลุยส์ ฟาน กัล”

โปรแกรม 8 นัด ที่เหลือของแมนฯ ยูไนเต็ด ดูบอลออนไลน์ คลิก

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด vs แอสตัน วิลลา (วันเสาร์ที่ 4 เมษายน)
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด vs แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน)
เชลซี vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (วันเสาร์ที่ 18 เมษายน)
เอฟเวอร์ตัน vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน)
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด vs เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน (วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม)
คริสตัล พาเลซ vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม)
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด vs อาร์เซนอล (วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม)
ฮัลล์ ซิตี้ vs แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม)


ขอขอบคุณข่าวจาก