news

 

ถึงแม้หลายๆ อย่างจะลงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องสิทธิ์ในการดูแลลูกสาว ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นปัญหาดราม่าภายในครอบครัวที่คาราคาซังมานานหลายเดือน ท่ามกลางความสงสัยของชาวเน็ตที่ติดตามข่าว

ล่าสุดนักแสดงสาว ต่าย ชุติมา ก็ได้ออกมาอัปเดตชีวิตหลังจากที่ผ่านมรสุมดราม่าดังกล่าว ในงาน ธรรมะจัดสรร จักรวาลจัดเรียง ซึ่งเธอเผยว่า ตอนนี้สิทธิ์ในดูแลลูกสาวเป็นไปตามที่ศาลกำหนด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอก็ยังอยากที่จะหาโอกาสพูดคุยกับอีกฝ่ายเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด

ส่วนสถานะชีวิตคู่ ต่าย ชุติมา ระบุว่า ถึงแม้เธอและ ทิม พิธา จะหยุดความเป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่ ณ ตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีการหย่าขาดอย่างเป็นทางการ เนื่องจากหลายๆ อย่างเป็นละเอียดอ่อน ซึ่งคงไม่สามารถตัดสินใจโดยพลการได้

ตอนนี้ให้พี่ทิมดูแลลูกสาว ?
“ใช่ค่ะ ตอนนี้ก็คือทำทุกอย่างตามที่ศาลกำหนดมาก่อน ตอนนี้ศาลจะให้สิทธิ์ทั้งคู่เท่ากัน ก็คือคุณพ่อกับคุณแม่คนละครึ่ง”

แต่มันมีเรื่องบ้านหลักด้วยไหม ต่ายได้ยื่นคำร้องไปด้วยไหม ?
“เรื่องนี้ก็คือยังไม่เรียบร้อย แต่ว่าตอนนี้ก็คือดำเนินการตามนี้ไปก่อนค่ะ”

แบ่งเวลากันยังไงบ้าง ?
“ก็คือเวลาตามที่ศาลกำหนดมาค่ะว่า คนละครึ่งค่ะในช่วงนี้ ของต่ายก็จะศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ค่ะ”

ในส่วนของคดีความมันยังมีอะไรที่ค้างคาที่ว่าเราจะยื่นให้เขา ?
“อันนี้ยังไม่เรียบร้อยค่ะ”

ตัดสินใจว่าจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง หรือเอาตามนี้ไปก่อน ?
“ช่วงนี้ก็คือดำเนินตามนี้ไปก่อน”

มันสบายใจไหมที่ตอนนี้เป็นอย่างนี้ ?
“มันก็ดีขึ้น สบายใจขึ้น รู้สึกว่าทุกอย่างเราก็อยากให้ลูกได้รับอะไรที่ดีที่สุด และก็กระทบจิตใจเราน้อยที่สุดค่ะ”

สภาพจิตใจน้องเป็นยังไงบ้าง ?
“ก็การพัฒนาการทุกอย่างของเขาก็ดี ปกติค่ะ แต่ว่าเรื่องของความเข้าใจอะไรก็มีมากขึ้นค่ะ”

สภาวะอารมณ์ของน้องตามวัยเด็ก ?
“ตามวัยค่ะ”

มีอะไรที่ยังกังวลอยู่ไหม ?
“จริงๆ คนเป็นแม่ก็กังวลทุกเรื่องอยู่แล้ว ขนาดแค่ยุงกัดเรายังเป็นห่วง เพราะเขาคือทุกๆ อย่าง และเราก็ดูแลเขาอย่างใกล้ชิดอยู่แล้วค่ะ”

เค้าปรับตัวได้แล้วใช่ไหม แบบว่าถึงเวลาต้องไปบ้านนั้น และพอถึงเวลาก็มาบ้านนี้ ?
“ก็ดีขึ้นค่ะ เหมือนด้วยอายุเขาจะมีความเข้าใจอะไรมากขึ้น วัยเขาก็จะเข้าใจกฎของสังคมตอนนี้ต้องยังไง ด้วยพัฒนาการของเขาด้วยค่ะ”

ต่าย ชุติมา คุณแม่หน้าเด็ก ย้อนวัยในชุดนักเรียนIG tye_chutima
ต่าย ชุติมา คุณแม่หน้าเด็ก ย้อนวัยในชุดนักเรียน

เราบอกกับลูกยังไงกับการที่ต้องย้ายไปย้ายมาตลอด ?
“เราก็จะบอกตลอดว่าอันนี้เรามีความจำเป็นยังไง คุณพ่อต้องทำอะไร คุณแม่ต้องทำอะไร ก็คือจะอธิบายเป็นเหตุเป็นผลให้เขาเข้าใจตลอด เพื่อที่ตัวเขาเองก็จะได้เป็นเด็กที่โตขึ้นมาและมีเหตุมีผลด้วย”

เราตั้งใจว่านี่จะเป็นการเคลียร์ปัญหาระยะยาวเลยไหมกับการที่ให้ลูกอยู่ 2 บ้าน ?
“ก็ถือว่ายังคาราคาซังอยู่นะคะ”

เป็นเพราะต่างฝ่ายยังไม่เริ่มที่จะคุยกันหรือเปล่า ทั้งเราและเขา ?
“มันเหมือนกับว่าพอเราทั้งสองคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน หรืออยากได้สิ่งเดียวกันมันก็เลยยังตกลงกันไม่ได้”

แสดงว่าใจเราก็ยังไม่ได้โอเคกับสภาวะที่ลูกต้องอยู่ 2 บ้าน ?
“จริงๆ ยังไงในอนาคตต่อไปเขาก็ต้องมีคุณพ่อคุณแม่ เพราะเราก็ไม่เคยคิดจะให้เขาขาดใครคนใดคนหนึ่งอยู่แล้ว แต่ว่าจะให้เขาอยู่ยังให้มีคุณภาพที่สุดตามที่คุณหมอเด็กแนะนำ ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็ยังไม่ถือว่าดีสำหรับเขาค่ะ”

แบบนี้จะต้องใช้กฎหมายเข้ามาช่วยไหม หรือว่าเราคิดว่าเราสามารถคุยกันได้ ?
“ก็หวังว่าจะคุยกันได้นะคะ ไม่ว่าจะวิธีใดวิธีหนึ่งก็ขอให้มีบทบสรุป”

แสดงว่าตั้งแต่ตอนที่เจอกันที่ศาลครั้งล่าสุดเราก็ยังไม่ได้คุยกันใช่ไหม ?
“ยังไงเราก็ยังต้องเป็นคุณพ่อคุณแม่ของลูก ยังไงก็ต้องมีเรื่องลูกที่ต้องปรึกษากันอยู่แล้วค่ะ”

ทุกวันนี้เวลาพี่ทิมไปทำงานต่างจังหวัด น้องก็จะอยู่กับเราใช่ไหม ?
“ก็…(ยิ้ม) อันนี้เราก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้”

เขาก็จะมอบให้คนอื่นดูแล ?
“คิดว่า เพราะเราไม่สามารถแตะอะไรตรงนั้นได้”

บอกเขาไม่ได้เหรอว่าถ้าเขาทำงานช่วงนั้นเราจะมาช่วยดูแลแทน ?
“คือเราก็บอกเขาตลอด ว่าถ้าไม่ว่างขอให้บอก เพราะอย่างไรเราว่างดูตลอดอยู่แล้ว ไม่เคยมีช่วงไม่ว่างแล้วให้ลูกมาอยู่กับเรา”

ความสัมพันธ์ของต่ายกับทิมเป็นอย่างไร ?
“เป็นพ่อกับแม่ จริงๆ เราสามารถยกทุกอย่างออกไปได้ ถึงแม้เราจะเลิกกันแล้ว ถึงแม้จะเคยทำกันเจ็บปวด แต่เราก็รู้สึกว่ามันคืออดีต ปัจุบันเราก็โฟกัสเรื่องวันนี้เราต้องดูแลพิพิมให้ดีที่สุด ต้องโฟกัสที่ลูก”

ตอนนี้หย่าหรือยัง ?
“ยังค่ะ แต่ว่ามีการตกลงกันต่อหน้าผู้ใหญ่ 2 ฝ่าย ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม ปีที่แล้ว ว่าหยุดสถานะการเป็นสามีภรรยากัน”

ต้องรอเอกสารทางการหรือว่าอะไร ?
“คือเรื่องนี้ต้องรอปรึกษาคือมันเป็นเรื่องละเอียด ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะทำอะไรได้โดยพลการ หรือคิดจะทำอะไรก็ได้”

ตอนนี้ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะไหม หรือต้องปรับตัว ต้องระมัดระวังอะไรบ้าง ?
“ก็ไม่ค่อยนะ เรารู้สึกมีความสุขมากขึ้น เหมือนเราได้อยู่กับครอบครัวของเรา อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่มีความอบอุ่น ทำให้รู้สึกมีความอบอุ่นในชีวิต และก็มีกำลงใจในการเลี้ยงดูพิพิม ถ้าพลังเราเต็ม ถ้าเรามีความสุข เราก็จะสามารถถ่ายทอดพลังที่จะดูแลเขาได้ แม้ว่าจะเป็นวันที่เขางอแงที่สุดเราก็ยังสู้ดูแลลูกได้”

สภาพจิตใจตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?
“คือโอเคมานานมากแล้ว ทุกอย่างมองเป็นเรื่องปกติ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ คนอื่นจะมองอย่างไรเราก็ไม่ได้เอาตรงนั้นเข้ามากระทบจิตใจ คือตอนแรกเราไม่อยากพูดเลย ก็ไม่อยากพูด มันก็คือเรื่องที่เรารู้ของเรากับเพื่อนของเราคนรอบข้างและครอบครัว ว่าที่ตัดสินใจพูดไปมันมีความจำเป็นจริงๆ”

ตอนนี้หันมารับงานมากขึ้น ?
“ใช่ค่ะ จริงๆ ต่ายเขียนไว้ในอินสตาแกรมตั้งแต่สิงหาคมปีที่แล้ว แต่คนอาจจะไม่ได้สังเกต เพราะพอเราตกลงกันว่าเราจะหยุด เราก็โพสต์เลยว่าเราก็กลับมารับงานนะ สามารถกลับไปดูได้ค่ะ”

เรื่องโรงเรียนของลูก สรุปตอนนี้เรียนที่ไหน ?
“อันนี้ต่ายไม่อยากลงรายละเอียดดีกว่าค่ะ”

แต่เรายังไม่คิดที่จะฟ้องให้จบว่าใครจะได้สิทธิ์นั้นหรือฟ้องหย่า ?
“ก็อยู่ในขั้นตอนที่กำลังปรึกษากันค่ะ ทุกอย่างคืออยากให้พิพิมได้รับผลที่ดีที่สุดค่ะ”

ปรึกษากันคือปรึกษากับทิม เพื่อหาทางออกร่วมกันหรือปรึกษากับทางฝั่งเรา ?
“ปรึกษากับผู้ใหญ่ คุณพ่อ คุณแม่ค่ะ ว่าทำยังไงให้การเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งขึ้นมาจะต้องได้รับสิ่งที่ดีที่สุด”

อาจจะต้องพึ่งศาลอีกไหม ?
“ก็อย่างที่บอกค่ะว่าด้วยวิธีไหนก็ได้ จะคุย จะปรึกษาหรือศาล หรืออะไรก็ตาม แต่อยากให้ผลลัพท์ออกมา เอาตัวเด็ก เอาผลประโยชน์ของลูกเป็นที่ตั้งที่สุด เราไม่ควรเอาลูกมาเป็นลูกบอลในการโยนไปโยนมา เราอยากให้เขาเติบโตมาอย่างสมบูรณ์ที่สุดค่ะ”

คิดว่าจะเคลียร์ลงตัว ระยะเวลามันจะนานไหม ?
“ไม่ทราบเลยค่ะ แต่ก็อยากให้เร็วที่สุดค่ะ”

รวมถึงเรื่องหย่าด้วย ?
“ใช่ค่ะ”


ขอขอบคุณข่าวจาก