จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ข้อความ พร้อมภาพถ่ายเสมหะ ระบุว่า ตนเองมีอาการป่วยจนอาเจียนเป็นเลือด คาดการณ์ว่ามีสาเหตุจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5

(23 ม.ค. 62) นายณฎฐพร เปรมมนัสไพศาล อายุ 25 ปี ผู้โพสต์ เปิดเผยว่า เริ่มมีอาการป่วยตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค. ที่ผ่านมา ช่วงแรกมีเสมหะ ไอ กระทั่งอาเจียนเป็นเลือด ต่อมาอาการไม่ดีขึ้น จึงไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล โดยแพทย์ให้เอ็กซเรย์ปอด แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ แพทย์จึงให้ตนไปล้างท้อง และทำซีทีสแกนที่กระเพาะ เพราะคาดการณ์ว่าอาจมีเลือดออกในกระเพาอาหาร แต่ไม่พบความผิดปกติ แพทย์จึงส่งตัวไปให้ตรวจอีกโรงพยาบาล

ซึ่งแพทย์โรงพยาบาลถัดมาวินิจฉัยว่า น่าจะเป็นอาการของโรคปอดอักเสบ ไม่ใช่มีแผลในกระเพาะ เมื่อเอกซเรย์ปอดอีกรอบ พบว่าปอดขวามีจุด 2 จุด ส่วนตัวตอนนั้นรู้สึกเหนื่อย หอบ จึงไปหาหน้ากาก N95 มาสวมใส่

news
นายณฎฐพร เปรมมนัสไพศาล ผู้โพสต์

จากนั้นได้รักษากับแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งได้วินิฉัยว่าปอดติดเชื้อรุนแรง ต้องรักษาด้วยการฉีดยาฆ่าเชื้อ 3 วัน วันละ 1 เข็ม จากนั้นอาการก็เริ่มดีขึ้น ไม่มีอาการไอ อาเจียน แต่ยังคงเหนื่อยและหอบอยู่ ล่าสุด วันนี้ตนเพิ่งไปพบแพทย์ซึ่งระบุว่า ตนเป็นโรคหลอดลมโป่งพอง อักเสบ เกิดจากเชื้อโรคในอากาศที่ทำให้เส้นเลือดในปอดอักเสบ จนกระทั่งเกิดช่องว่างขึ้นในปอด ส่วนตัวมองว่าเป็นโรคที่อันตรายมาก ซึ่งแพทย์ไม่ได้ระบุกับตนชัดเจนว่าสาเหตุที่เกิดโรคนี้มาจากการสูดดมฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 แต่ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะเป็นสาเหตุ เพราะตนไม่มีโรคประจำตัว ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ แต่การทำงานย่านพระราม 9 จึงต้องขับรถผ่านย่านคลองเตย พระราม 3 ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง โดยที่ตนไม่เคยสวมหนากากอนามัย
ภาพจากโพสต์ของนายณฎฐพร
นพ.สมิทธิ สุขทรัพย์ศรี แพทย์เวชปฏิบัติ รพ.บางมด

ด้าน นพ.สมิทธิ สุขทรัพย์ศรี แพทย์เวชปฏิบัติ ประจำห้องฉุกเฉิน รพ.บางมด เปิดเผยว่า กรณีบุคคลทั่วไป หากสูดดมฝุ่นละอองขนาดเล็กเข้าไปเพียงไม่กี่วัน อาจไม่ส่งผลให้มีอาการไอ อาเจียนเป็นเลือดได้ ส่วนตัวมองว่า การสูดดมฝุ่นละอองในความเข้มข้นระดับที่เป็นอยู่ในกรุงเทพฯ หากผู้ที่มีภาวะโรคเดิมที่เกี่ยวข้องกับโรคทางเดินหายใจ อาจกระตุ้นทำให้โรคกำเริบได้ โดยเฉพาะผู้มีภาวะโรคปอดอักเสบ โรคมะเร็งปอด หรือวัณโรค รวมทั้งผู้มีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น โรคประจำตัว หอบหืด

อย่างไรก็ตาม หากรักษาไม่ทัน ในกลุ่มผู้มีปัจจัยโรคเดิม อาจส่งผลให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้ วิธีป้องกันที่ง่ายที่สุด คือการใส่หน้ากากอนามัย ซึ่งเหมือนเป็นเรื่องเล็ก แต่ไม่ควรมองข้าม


ขอขอบคุณข่าวจาก