news

 

ก่อนหน้านี้ ใครหลายคนคงได้เห็นภาพของยอดกำปั้น ‘ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์’ โพสท่าคู่กับรถซุปเปอร์คาร์คันใหม่ล่าสุด ที่ลือกันว่าทั่วโลกมีเพียง 2 คันเท่านั้น แถมยังมีราคาสูงระยิบถึง 172 ล้านบาท

อย่างนั้นเราไปดูรายละเอียดของซุปเปอร์คาร์สัญชาติไวกิ้ง ‘Koenigsegg CCXR Trevita’ คันนี้ ว่ามีดีตรงไหน ทำไมถึงกล้าตั้งราคาได้แพงท่วมท้นขนาดนี้

Koenigsegg CCXR Trevita จริงๆแล้วถือเป็นรถระดับ ‘ไฮเปอร์คาร์’ ที่ถูกพัฒนาต่อมาจาก ‘Koenigsegg CCX’ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นรถที่สามารถวิ่งได้เร็วที่สุดในโลกคันหนึ่งเลยด้วยซ้ำ โดยถูกผลิตขึ้นมาตั้งแต่ปี 2005 เรื่อยไปจนถึงปี 2010 รวมอายุตลาดประมาณ 6 ปี

จากนั้น Koenigsegg CCX ยังได้ถูกแตกไลน์ต่อมาเป็นรุ่น CCXR, CCXR Edition, CCXR Special Edition และ CCXR Trevita ซึ่งทั้งหมดมียอดผลิตรวมตลอดอายุตลาดเพียงแค่ 49 คันเท่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโมเดล ‘Agera’ ตั้งแต่ปี 2011 มาจนถึงปัจจุบัน

Koenigsegg CCXR Trevita ถือเป็นรุ่นสูงสุดในตระกูล ‘CCX’ ที่ผลิตขึ้นเพียง 2 คันเท่านั้น โดยความพิเศษอยู่ที่วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ที่ถูกถักทอขึ้นในรูปแบบสีขาวประกายเพชรแทนที่จะเป็นสีดำธรรมดาๆ ทำให้ตัวถังรถสามารถสะท้อนประกายเพชรระยิบระยับขณะที่วิ่งอยู่ท่ามกลางแสงแดด สะดุดตาผู้พบเห็นเป็นอย่างดี (ยี่ห้ออื่นพ่นสีขาวมุกก็หรูแล้ว…)

Koenigsegg CCXR Trevita ติดตั้งเครื่องยนต์อลูมิเนียมบล็อกแบบ V8 ความจุ 4.8 ลิตร พร้อมซุปเปอร์ชาร์จเจอร์ ให้กำลังสูงสุดอยู่ที่ 1018 แรงม้า (BHP) ที่ 7,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 1080 นิวตัน-เมตร ที่ 5,600 รอบต่อนาที ซึ่งตัวเครื่องยนต์มีน้ำหนักเพียง 178 กิโลกรัมเท่านั้น

สามารถเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียง 2.9 วินาที หรือแม้แต่ 0-200 กม.ชม. ก็ใช้เวลาเพียง 8.75 วินาทีเท่านั้น ความเร็วสูงสุดมากกว่า 410 กม.ชม. และเมื่อรถคันนี้ถูกพัฒนาขึ้นที่ประเทศสวีเดน มันจึงรองรับเชื้อเพลิงได้ถึง E85 อีกต่างหาก (หากใครสงสัยว่าเกี่ยวกันอย่างไร ลองย้อนกลับไปว่า Volvo เป็นรถยนต์ค่ายแรกที่บุกเบิกระบบเชื้อเพลิง Flex-fuel ในบ้านเรานั่นแหละ)

ส่วนราคาค่าตัวของ Koenigsegg CCXR Trevita คันนี้ ก็ตามที่นักมวยหนุ่มระบุไว้เลยว่า 4.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราวๆ 172 ล้านบาทไทย!!

หากใครคิดว่าราคาคงเอื้อมไม่ถึง จะลองคบหารุ่น Koenigsegg CCX ธรรมดาๆ ก็ควักกระเป๋าออกมาแค่ 600,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือราว 21.5 ล้านบาท


ขอขอบคุณข่าวจาก