news

ฟุตบอล “โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก” เปิดมาได้เพียงสัปดาห์เดียว แฟนฟุตบอลเมืองไทยก็จะได้รับชมบิ๊กแมตช์ที่อาจจะต้องเติมคำลงท้ายว่า “ออฟ ไทยแลนด์” ด้วยซ้ำ ระหว่าง “กิเลนผยอง” เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด กับ “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

อย่างที่คอบอลทราบกันดีว่า ทั้งสองทีมนี้ไม่ถูกกันอย่างยิ่ง เรียกว่าอยู่คนละขั้วของวงการฟุตบอลเมืองไทย ชนิดที่ว่าเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกันอย่างแน่นอน แม้ว่าสถิติที่เจอกันมา 16 นัดหลังสุด ขุนพลเซาะกราวแห่งอีสานจะไม่เคยลิ้มรสคำว่า “แพ้” เลย (ชนะ 9 เสมอ 7)

ถ้าย้อนอดีตไปก่อนที่ “บิ๊กเน” เนวิน ชิดชอบ จะเข้ามาในวงการฟุตบอล ต้องยอมรับว่า เมืองทองคือทีมที่ผูกขาดความสำเร็จของวงการฟุตบอลไทยและถูกยกว่าเป็นทีมอันดับ 1 ที่เก่งที่สุดซึ่งต้องย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว

แต่หลังจากบิ๊กเนกับบุรีรัมย์มาโลดแล่นในยุทธจักรฟุตบอลเมืองไทย ก็กลับกลายเป็นยอดทีมจากแดนอีสานใต้ที่ผูกขาดความสำเร็จทุกปี ยกเว้นปี 2555 เพียงปีเดียว ที่ทีมดังแถวแจ้งวัฒนะได้ลิ้มรสความหอมหวานของคำว่า “แชมป์”

นอกจากการแข่งขันในสนามที่ทั้งคู่ไม่ยอมกันแล้ว ยังมีเรื่องนอกสนามที่กลายเป็นประเด็นหลายครั้ง จนเรียกว่ามีแผลเต็มหน้าทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกองเชียร์ การตลาดหรือการใช้สื่อ จนฝ่ายบริหารของทั้งสองสโมสรมีหลายครั้งที่ต้องเข้ามาพยายามบรรเทาหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

แถมช่วงหลังเวลาทั้งสองทีมเจอกัน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในสนามและนอกสนาม ต้องเกณฑ์กันมากว่าหลายร้อยชีวิตเลยทีเดียว เพราะว่าเวลาเจอกันเอง แฟนฟุตบอลของทั้งสองทีมมักจะเปราะบางมากกว่าปกติ ซึ่งโอกาสที่จะเกิดความวุ่นวายจะมีมากกว่าเวลาเจอทีมอื่น

สำหรับวันนี้จะเล่นที่สนามของเมืองทอง เจ้าบ้านที่มี “ดราแกน ทาลายิช” โค้ชเชื้อสายบอสเนียชาวโครแอตซึ่งออกมาแสดงความมั่นใจว่า ลูกทีมของเขามั่นใจว่าจะสามารถเก็บสามแต้ม บวกกับการได้ “เทพมุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา กลับมาช่วยทีม แม้ว่านัดแรกฟอร์มอาจจะไม่โดดเด่น

อย่างไรก็ตาม การที่มุ้ยเป็นเด็กเชื้อสายเมืองทองร้อยเปอร์เซนต์ ยังไงก็มุ่งมั่นเต็มที่อย่างแน่นอน เพราะการยิงบุรีรัมย์ได้ถือเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่

ส่วนทางบุรีรัมย์ของ “อเล็กซานเดอร์ กามา” โค้ชชาวบราซิล ก็คงไม่ประมาทจากบทเรียนในฤดูกาลที่แล้วที่สนามแห่งนี้ แม้ว่าจะสามารถเอาตัวรอดชนะมาได้ 1-0 ทั้ง “โตโยต้า ไทยพรีเมียร์ลีก” และ “โตโยต้า ลีกคัพ” แต่กว่าจะผ่านเกมเหล่านั้น ต้องบอกว่า “เลือดตาแทบกระเด็น” เพราะความรู้สึกเวลาเล่นในสนามเมืองทองที่มีกองเชียร์เต็มสนาม เหมือนนักเตะในสนามเมืองทองมีมากกว่า 11 คนแน่นอน

ถึงตอนนี้เชื่อว่าแฟนบอลทั้งสองฝ่าย คงไม่อยากอดทนรอจนถึงเวลาแข่งขันแล้ว เพราะถึงบุรีรัมย์จะประสบความสำเร็จได้ถ้วยมาประดับตู้โชว์ในยุค 4-5 ปีที่ผ่านมาเต็มไปหมด แต่ถ้าถามแฟนเมืองทองก็ไม่เคยเกรงกลัวอยู่แล้ว บางทีแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นด้วยซ้ำ และเชื่อมาตลอดและตลอดไปว่า “ข้าเหนือกว่า”

นัดนี้รับรองหวดกันไฟแลบแน่ ผลเสมอถือว่าล้มเหลวทั้งสองฝ่าย สถิติไร้พ่ายเมืองทองของบุรีรัมย์จะถูกยืดออกไปหรือถูกทำลายซักที คนที่ให้คำตอบได้มีเพียง “ดราแกน ทาลายิช” “อเล็กซานเดอร์ กามา” “นักเตะที่ลงสนาม”


ขอขอบคุณข่าวจาก