news

ศาลธัญบุรีปล่อยตัว “พ่อค้าขายส้ม” หลังตกเป็นผู้ต้องหาคดียาเสพติด ติดคุกฟรี 1 เดือน เพราะแจ้งเบาะแสตำรวจว่าเจอยาบ้า เจ้าตัวลั่นเข็ดกับการเป็นพลเมืองดี

เมื่อวานนี้ (29 พ.ค.) นายวรกร พงศ์ธนากุล ทนายความ พร้อมด้วย นางสาวกัลยกร อายุ 37 ปี และลูกๆ ได้เดินทางไปที่ศาลจังหวัดธัญบุรี อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี เพื่อทำเรื่องให้ศาลจังหวัดธัญบุรี ปล่อยตัว นายพิชิต พ่อค้าขายส้ม ซึ่งเป็นสามี หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง จับกุมดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยมิชอบ

นายวรกร เปิดเผยว่า หลังจากที่ นางสาวกัลยกร ได้ไปขอความเป็นธรรมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติมารับเรื่องแทน พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. นั้น โดยให้พนักงานสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ถ้าไม่ผิดก็ให้ปล่อยตัว นายพิชิต พ่อค้าขายส้มที่ถูกกล่าวหา

โดยพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนแล้ว ไม่พบการกระทำความผิด ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นัดหมายปล่อยตัว ศาลจังหวัดธัญบุรีได้ทำการปล่อยตัว นายพิชิต โดยให้เหตุผลว่าไม่พบการกระทำความ จึงได้ปล่อยตัวโดยไม่มีการประกันตัว และจะมีการปล่อยตัวที่เรือนจำธัญบุรี

ส่วนเรื่องของคดีนั้นก็ยังมีผู้ต้องหาคนอื่นๆ อีก แต่ถ้ามีการสั่งฟ้องสำนวนของนายพิชิตก็จะพ่วงไปด้วย เมื่อพ่วงไปด้วยแล้วก็ขึ้นอยู่กับทางอัยการ แต่ถ้าทางอัยการมีความเห็นเดียวกันกับตำรวจก็คือจบคดีนี้ไป

แต่ถ้าทางอัยการเห็นสมควรว่า จะเรียกตัวมาเป็นจำเลย ก็มีสิทธิ์ที่จะให้ทำพนักงานสอบสวนเรียกนายพิชิตมาอีก เพื่อมาเป็นจำเลยได้ แต่ต้องมีเหตุผลมากพอสมควรที่จะสั่งในการดำเนินคดี เพราะว่าจากสำนวนของนายพิชิตที่มีอยู่ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเลย มีแต่เพียงว่าไปขายส้มและพบยาเสพติด ก่อนจะแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น

ทั้งนี้ คดีนี้เป็นคดีแรกของประเทศไทยที่ผู้ต้องหาคดียาเสพติดและมีการปล่อยตัวในชั้นของตำรวจ และไม่เคยมีมาก่อนโดยเฉพาะในคดีเรื่องยาเสพติด และไม่ใช่เป็นการปล่อยตัวชั่วคราว

ขณะที่ นางสาวกัลยกร เปิดเผยว่า ตนรู้สึกดีใจมากที่สามีได้รับอิสรภาพ และออกมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเหมือนเดิม ต้องขอบคุณทนายและสื่อมวลชนที่ได้ช่วยเหลือประเด็นนี้มาตลอด ตนยืนยันว่าสามีไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด ตลอดระยะเวลาที่สามีอยู่ในเรือนจำนั้น ตนต้องแบกรับภาระทุกอย่างทั้งหมด

และในที่สุด นายพิชิต ได้รับอิสรภาพออกมาจากเรือนจำ พ่อแม่ลูกต่างเข้าโผกอดกันด้วยความดีใจและร้องไห้ออกมาเพราะความยินดี

นายพิชิต กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ในวันเกิดเหตุ เพื่อนของตนได้รับงานมาเพื่อที่จะให้เอาส้มไปทิ้ง เมื่อตนได้รับมาแล้ว และก็ยังถามเพื่อนว่า ยังมีส้มบางส่วนยังสภาพดีอยู่ น่าจะนำเอาไปขาย แนะนำไปเร่ขายย่านคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และมาพบเจอยาบ้าในที่สุด

ซึ่งหลังจากที่พบเจอยาบ้าแล้ว ตนก็ไม่ได้ตกใจอะไร ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ที่รู้ว่ายาบ้านี้ไม่ใช่ของตน และโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบและทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้นำยาเสพติดไป หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้โทรศัพท์เรียกให้ไปที่โรงพัก ตนก็เซ็นต์เอกสารโดยไม่รู้เรื่องอะไร

หลังจากนั้นจึงทราบว่าตนได้เซ็นต์รับสำนวนคดีมา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้อ่านให้ตนฟัง ซึ่งจับใจความได้ว่า นายพิชิตได้ขับรถไปส้มและมียาเสพติดอยู่ในรถ ในการเซ็นต์นั้นตนไม่ได้รับสารภาพว่าเป็นเจ้าของยาเสพติด จากนั้นตำรวจก็พาตนไปชี้จุดที่พบยาเสพติด จากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ทำการถ่ายรูป และนำตนเข้าห้องขัง

ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ตนถูกจองจำเป็นเรื่องที่ทรมานมาก ตนคิดว่าตัวเองไม่ผิด ทำไมต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ทุกครั้งที่ภรรยามาเยี่ยม ตนก็รู้สึกเครียดและไม่รู้จะพูดอะไร คิดแต่ว่าโลกไม่ยุติธรรม ตนเป็นแค่พลเมืองดีที่แจ้งเบาะแส แต่กลับถูกป้ายความผิด

ทั้งนี้ ภรรยาก็ได้บอกกับตนอยู่เสมอว่า ได้ดำเนินการเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้แล้ว เรื่องไปถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ตนก็ไม่ได้เรียกร้องอะไร อยากเพียงแค่ได้อิสรภาพและกลับมาอยู่กับครอบครัวเท่านั้น

นายพิชิต กล่าวทิ้งท้ายว่า หลังจากนี้ตนจะไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสิ่งผิดกฎหมายอีกแล้ว แม้ว่าจะพบเจอ ก็จะไม่พยายามทำตัวเป็นพลเมืองดีอีก เพราะประสบการณ์ที่ต้องมาเจอเรื่องราวแบบนี้ กลายเป็นตราบาปของชีวิตไปแล้ว


ขอขอบคุณข่าวจาก