news

 

ฟุตบอลโลก 2018 รอบ 16 ทีมผ่านไป 4 นัด แต่ยังไม่มีนัดไหนเลยที่จะไม่มีความสนุกหรือดราม่าเกิดขึ้น

และในเกมล่าสุดระหว่าง โครเอเชีย กับ เดนมาร์ค ก็ยังคงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นจนหยดสุดท้าย แม้ว่าเกมจะค่อนข้างหน่วง ๆ นิดหน่อยช่วงกลาง ๆ เกมก็ตาม

ไปดูกันว่าในเกมที่ยันเสมอกัน 1-1 เกิน 110 นาทีนี้ มีอะไรน่าสนใจให้ติดตามบ้าง

6. ประตูเร็วที่สุด

เหมือนจะกลายเป็นธรรมเนียมกลาย ๆ ที่ฟุตบอลโลกจะต้องมีการยิงประตูอันรวดเร็วเกิดขึ้น และแม้ว่าลูกจุดโทษในนาทีที่ 3 กับอีก 29 วินาทีของ คริสเตียโน โรนัลโด้ ในเกมกับ สเปน จะเร็วแล้ว แต่ลูกทุ่มไกลของ คนุดเซน ให้ ซันก้า ทำประตูมันไวกว่านั้นมาก เพราะใช้เวลาเพียง 57 วินาทีเท่านั้น แฟนบอลบางคนยังไม่ทันเข้าสนามเลย

อย่างไรก็ตาม ประตูนี้ยังห่างไกลจากประตูที่เร็วที่สุดในฟุตบอลโลก เพราะสถิติปัตตุบันอยู่ที่ 11 วินาทีของ ฮาคาน ซูเคอร์ ของ ตุรกี ในเกมกับ เกาหลีใต้ รอบเซมิไฟนอล ในปี 2002

5. ประโยชน์ของการทุ่มไกล

ดูเหมือนการทุ่มไกลจะกลายเป็นกระแสในช่วงนี้ไปแล้ว นับตั้งแต่ลูกทุ่มอันเลื่องชื่อของ อารอน กุนนาร์สัน ใน ยูโร 2006 จนมาถึงลูกทุ่มของ โยนาส คนุดเซน ในเกมนี้

แค่วินาทีที่ 50 ของเกมเท่านั้น ฟูลแบ็คจาก อิสวิช ทาวน์ ที่เพิ้งได้โอกาสลงเป็นเกมแรกในฟุตบอลโลกคราวนี้ก็แผลงฤทธิ์ทันที ลูกทุ่มไกลของเขาแรงมากจนไปถึงเส้นเขตโทษฝั่งตรงข้าม ซึ่งก็เป็น ซันก้า เพื่อนร่วมทีมของเขาที่ได้บลไป ก่อนจะทำประตูได้ในที่สุด

การทุ่มไกลด้วยแรงที่เหมะสมจะทำให้สถานการณ์ดูคล้าย ๆ กับเตะมุม แต่มีมุมให้เลือกเยอะกว่า แถมยังไม่มีการล้ำหน้าจากการทุ่มอีกด้วย

4. คริสเตนเซน ยังไม่พร้อมรับมือเกมใหญ่

อันเดรียส คริสเตนเซน ในฤดูกาลที่ผ่านมาสร้างชื่อให้กับเขาได้พอสมควรในฐานะกองหลังดาวรุ่งน่าจับตามอง เขาเร็ว มีความมั่นใจสูง และเข้าสกัดได้แม่นยำ ซึ่งความสามารถเหล่านี้ทำให้เขาได้โอกาสเป็นตัวจริงยืนหลัง เอริคเซน กับ เดลานีย์ ตรงกลางสนาม

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนมันจะไม่ใช่แผนที่ดีนักในการดักทาง โมดริช และ ราคิติช ของ โครเอเชีย หากยังจำได้ เขาเคยมีปัญหากับความมั่นใจของเขามาแล้วยามเล่นในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก และ ฟุตบอลโลก มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นสำหรับเด็กอายุ 22 ปีที่จะให้รับบทบาทสำคัญ เขาเสียบอลบ่อย โดนกดดันจนหลุดสมาธิง่าย ๆ หลายครั้ง และนั่นทำให้เขาต้องถูกเปลี่ยนออกตั้งแต่เริ่มครึ่งหลัง

นี่ยังไม่นับว่าเขามีส่วนให้ทีมเสียประตูนะ ถึงแม้จะเป็นเรื่องโชคร้ายล้วน ๆ ก็เถอะ

3. โครเอเชีย มีกองกลางที่ดีที่สุดทีมนึงในตอนนี้

เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับ ลูก้า โมดริช และ อิวาน ราคิติช นั่นหมายความว่าคุณต้องเผชิญหน้ากับกองกลางมือฉมังที่ผ่านประสบการณ์เกมระดับชาติรวมกันกว่า 200 นัด คว้าถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก มา 5 ครั้ง และยังถ้วยต่าง ๆ ในสเปนทั้งลีกและคัพอีกเกือบ 30 ได้ เมื่อนับรวม โบรโซวิช, เปริซิช และ เรบิช เข้าไปแล้ว กองกลางระดับนี้ถือว่าควรประสบความสำเร็จในยุโรปได้ระดับเดียวกับ เยอรมนี หรือ สเปน ได้เลย

โมดริช ราคิติช ทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในการโยนบอลอันตราย ซึ่งแม้ว่าเกมนี้อาจจะทำอันตราย เดนมาร์ก ได้น้อยไปนิด แต่ทีมบิ๊ก ๆ อย่าง อาร์เจนตินา เคยสัมผัสมาแล้วเต็ม ๆ ในขณะที่ เปริซิช และ เรบิช ทำเกมรุกด้านข้างได้อย่างยอดเยี่ยม และเมื่อพิจารณาแค่กองกลางแล้ว โครเอเชีย เข้าชิงชนะเลิศได้เลย
2. แท็คติคอันยอดเยี่ยมของ เดนมาร์ก

ปัญหาของ โครเอเชีย ในเกมนี้คือระบบ 4-5-1 ของพวกเขา มานจูคิช โดดเดี่ยวเกินไป และหลาย ๆ ครั้งตราหมากรุกต้องใช้วิธีพาบอลลุยขึ้นเมงของเหล่ากองกลางมือฉมัง นั่นทำให้กองหน้าจาก ยูเวนตุส มีพิษสงต่ำมาก ๆ ในยามที่โดนจับตาย

ด้วยระบบการยืนเซ็นเตอร์ 2 คน โดยมี คริสเตนเซน อยู่ข้างหน้าเล็กน้อย ทำให้ โมดริช สนับสนุนเกมขอ มานจูคิช ได้ยาก และเป็นการบีบใ้หพวกเขาต้องออกด้านข้างไปโดยปริยาย ในขณะที่ 2 วิงแบ็คอย่าง ดัลส์การ์ด และ คนุดเซน รวมถึง เดลานีย์ คอยตัดฟาวล์บ่อย ๆ จนเกมรุกของ โครเอเชีย ไม่ไหลลื่นอย่างที่เคยเป็นในรอบแบ่งกลุ่ม

1. ชไมเคิล ท็อปฟอร์มตอนแก่

ชไมเคิล คนลูก ตกเป็นตัวสำรองของ โจ ฮาร์ท มานานหลายปีในถิ่นของ แมนฯ ซิตี้ ก่อนที่จะย้ายไปเล่นในลีกที่ต่ำกว่าจนเกือบจะแตะเลข 3 แต่เมื่อเวลามาถึง

เขาก็ไม่ทำให้ ชไมเคิล ผู้เป็นพ่อต้องผิดหวัง เขาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ ได้ไปเล่นในรอบน็อคเอาท์ของ แชมเปี้ยนส์ลีก พา เดนมาร์ค มาเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้ ผ่านรอบแบ่งกลุ่มได้ แถมยังเซฟสำคัญจนช่วยให้ ชาวเดนมาร์กได้ฝันถึงการเข้ารอบ 8 ทีมไปอยู่พักนึงเหมือนกัน

แม้จะตกรอบเพราะแพ้ดวลจุดโทษ แต่เขาก็เซฟสำคัญ ๆ ไปหลายครั้ง รวมถึงการเซฟลูกจุดโทษอีก 3 ครั้งในเกมนี้ด้วย และนั่นน่าจะทำให้ฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นหนึ่งในความทรงจำดี ๆ ของอาชีพค้าแข้งเลยทีเดียว


ขอขอบคุณข่าวจาก