news

ยังคงเป็นประเด็นให้ติดตามกันอย่างต่อเนื่อง สำหรับกรณี(อดีต)เพื่อนรัก..เพื่อนร่วมโลก ระหว่าง บี น้ำทิพย์ กับ โย ยศวดี ที่ชัดเจนว่าทั้งคู่ต่างขัดแย้งกันในเรื่องปมธุรกิจอาหารเพื่อสุขภาพที่ได้จับมือทำกันมา แม้ว่าระยะที่ผ่านมาต่างฝ่ายจะออกมาพูดในส่วนของตัวเอง แต่ล่าสุด บี น้ำทิพย์ ได้นัดสื่อมวลชนแถลงชี้แจงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ณ อาคารจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ย่านอโศก พร้อมหอบหลักฐานที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้งครั้งนี้อย่างละเอียดยิบ….!!

“วันนี้ที่จะพูดไม่ได้ต้องการแฉใคร แต่ถ้ารุนแรงไปก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ก่อนอื่นบีต้องขออธิบายก่อนว่า ธุรกิจ “โยบีไดเอทฟู้ด” เกิดจากการที่เราไปเจอธุรกิจแนวนี้ที่ประเทศอังกฤษ เลยคิดว่าอยากจะนำกลับมาเปิดที่ไทย ซึ่งสุดท้ายอย่างที่เห็นค่ะ คือ โยบีไดเอทฟู้ด”

“โมเดลธุรกิจตัวนี้ สมมุติว่าเรามีลูกค้า 1 คน ซื้อของในราคา 100 บาท เชฟจะได้ในส่วนของเงินค่าอาหาร 80 บาท ส่วน 20 บาทที่เหลือจะถูกเก็บเข้าโยบีในฐานผลกำไร เงินกำไรตรงนี้เมื่อมันมีการสะสมมากขึ้น เราก็จะนำมันมาคืนทุนให้กับแต่ละฝ่าย ซึ่งก็เท่ากับว่าการดำเนินธุรกิจทุกอย่างของบริษัทโยบีจะใช้เงินกำไรในการบริหาร ไม่ได้เกี่ยวกับเงินลงทุนของเราแล้ว เพราะเราได้เงินคืนทั้งคู่”

“ช่วงแรกที่เราลงทุนเงิน เราลงทุนกันคนละครึ่งนะคะ ไม่ได้เป็นหุ้นลมเหมือนอย่างที่พี่โยพูด และบีมีหลักฐานเรื่องเงินตรงนี้ทุกอย่าง ต่อมาเมื่อเราได้กำไรมากขึ้น จนจดธุรกิจในรูปแบบบริษัทได้ พี่โยเขาก็เสนอบีมาว่า จะให้ พี่เอ อัญชลี เข้ามาถือหุ้น โดยการที่เขาจะแบ่งหุ้นของเขาให้ และให้พี่เอทำหน้าที่เป็น MD และมีเงินเดือนประจำ ซึ่ง ณ ตอนนั้นในใจบีไม่ได้คิดอะไรเลยจริงๆ เพราะเขาทั้งคู่เป็นคนที่บีรักและเชื่อใจมากค่ะ”

“หลังจากนั้นจดบริษัทเสร็จ เราก็ต้องมีการเปิดบัญชีบริษัทร่วมกัน ซึ่งขั้นตอนนี้มันก็ต้องมีการลงนามเป็นชื่อเราทั้งคู่ แต่ ณ ตอนนั้น พี่โยอ้างว่า เขารู้ว่าบีไม่มีเวลาที่จะมาเซ็น เพราะบีติดถ่ายละครอยู่ต่างจังหวัด บีก็เลยตอบตกลงให้เขารับหน้าที่ทำธุรกรรมทางการเงินเพียงคนเดียว เพราะเขาบอกว่า ถ้าหากวันไหนบริษัทเกิดมีเรื่องฉุกเฉินที่ต้องใช้เงินและบีไม่อยู่มันอาจจะไม่ทันก็ได้ ซึ่งเอาตรงๆ ตอนที่บีฟังพี่เขาพูดแบบนั้นบีก็รู้สึกเกรงใจ”

“แต่เรื่องราวมันเกิดขึ้น เมื่อ 4 เดือนก่อน ตอนที่มีเชฟที่ทำอาหารให้บริษัทโทรมาแจ้งกับบีโดยตรงว่า ตอนนี้บริษัทโยบีเป็นหนี้เขาอยู่ 900,000 กว่าบาท ตอนนั้นบีรู้สึกงงว่า มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมบริษัทเราถึงเป็นหนี้ จนสุดท้ายบีตัดสินใจติดต่อไปทางพี่โยเพื่อขอดูบัญชี และพอดูบัญชีเสร็จปุ๊ป บีก็ได้เห็นอะไรหลายๆ ในบัญชีที่มันไม่เคลียร์ ซึ่งเราคุยกันเรื่องนี้ 3 รอบนะคะ แต่ก็ไม่เคลียร์เลยสักรอบ กำลังจะมีรอบที่ 4 เร็วๆ นี้”

“ส่วนประเด็นเรื่องเงิน 200,000 บาท ที่พี่โยเขาบอกว่าบีให้มาและบีเอาคืน บีต้องอธิบายว่ามันเป็นการยืมเงินกรรมการบริษัทนะคะ ไม่ใช่เงินลงทุน มันเป็นการยืม ซึ่งทุกบริษัทมันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วค่ะ”

“เรื่องทัศนคติที่พี่โยบอกว่าเรามีไม่ตรงกัน อันนี้บีต้องบอกก่อนว่า ตอนที่เขาเสนอบีมาว่า เขาอยากทำผลิตภัณฑ์อาหารเสริม แต่บีเลือกที่จะไม่ทำ ก็เป็นเพราะบีมองว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้มันขัดแย้งกับธุรกิจโยบีไดเอทฟู้ด อีกอย่างถ้าเขาอยากจะทำบีก็ไม่อยากไปรั้งความเจริญของเขา บีก็เลยต้องบอกเขาไปว่าถ้าพี่จะทำจริงก็ให้เขาเคลียร์บัญชีตรงนี้ก่อน และปิดโยบีไดเอทฟู้ด ซึ่งนั่นก็คือเรื่องที่เรามีทัศนคติไม่ตรงกันค่ะ”

“เรื่องอินสตาแกรมที่เขาบอกว่า เขาขอบี อันนี้บียอมรับค่ะว่าเขาขอจริง แต่เขาขอหลังจากโพสต์รูปสินค้าตัวใหม่ของเขาไปแล้วเป็นสิบๆ รูป ซึ่งตอนที่เขาส่งไลน์มาขอบีครั้งแรก บียังไม่ทันจะตอบอะไรเลย เขาก็นำไอจีโยบีไดเอทฟู้ดไปเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อผลิตภัณฑ์ใหม่ของเขาทันที ซึ่งตอนนั้นบียอมรับว่า บีโกรธมากจริงๆ ค่ะ จนสุดท้ายเราก็ได้คุยกัน และสรุปมาว่าเขาจะปิดไอจีที่ว่าในวันที่ 4 ซึ่งเขายังบอกกับบีมาอีกว่า หลังจากนี้ต่างคนต่างอยู่ก็ละกัน”

“นอกจากนี้ เขาพูดอีกว่า ตามบีไปดูบัญชี แต่บีไม่ยอมไป อันนี้บีต้องชี้แจงว่าตอนนั้น บีติดงานจริงๆ และบีก็ยื่นข้อเสนอไปว่าให้เขาอีเมลตัวเลขมาให้บีดูก่อน แล้วถ้ามันติดอะไรตรงไหนยังไง เราค่อยมาสรุปกันอีกที แต่สุดท้ายทางเขาก็ไม่ยอมส่งข้อมูลอะไรมาให้บีเลย จนสุดท้ายพี่เอต้องเป็นคนโทรมาหาบี พยายามพูดให้บีไปให้ได้ แต่บีก็ติดงานของบีเหมือนกัน คือบีไปไม่ได้จริงๆ ซึ่งวันนี้บีอยากให้พี่ๆ สื่อ ย้อนกลับไปถามพี่โยเหมือนกันนะคะว่า เพราะอะไรตอนนั้นฝั่งบีถึงพูดว่า “พร้อมที่จะดับเครื่องชน” บีอยากให้พี่ๆ สื่อไปถามว่าทางฝั่งเขาพูดอะไรมาก่อน”

“ส่วนเรื่องจ่ายเงินชดเชยลูกน้อง อันนี้บีพอทราบมาว่ามีลูกน้องส่วนหนึ่งที่เขาดึงไปทำงานกับเขาต่อ ส่วนคนที่เขาไม่ได้ดึงไปทางบริษัทโยบีก็รับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายแล้วทั้งหมด ไม่ใช่แค่พี่โยคนเดียวที่รับผิดชอบนะคะ”

“และอีกเรื่องที่บีอยากแจ้งให้พี่ๆ ทราบก็คือ คนทำบัญชีเก่าของโยบีไดเอทฟู้ด ตอนนี้เขาไม่ได้ทำให้กับโยบีอีกแล้ว แต่คนที่เข้ามาทำให้ใหม่ เริ่มต้นดูบัญชีให้ใหม่ทั้งหมด เขาคือคนของพี่โย เพราะฉะนั้นถ้าหากจะดูบัญชีทั้งหมดให้เคลียร์จริงๆ ก็คงต้องใช้บริษัทที่เขาทำงานด้านบัญชีจริงๆ เข้ามาดู และเพื่อความยุติธรรมก็จะต้องดูกันตั้งแต่ต้นจนจบค่ะ”

ตอนที่เขาบอกว่าอาหารช่วงหลังรายได้ไม่ดี และจะหันไปทำธุรกิจอาหารเสริม เรารู้สึกยังไงบ้าง ?
“อย่างที่บีบอกไปตอนแรก บริษัทเราใช้วิธีบริหารโดยการนำกำไรสะสมมาช่วย ดังนั้นถึงธุรกิจมันจะตกลงยังไง มันก็ไม่ถึงกับอยู่ไม่ได้แน่นอน”

สรุปแล้วปัญหาเกิดจากที่เราบอกว่าพี่โยจะเปิดบริษัทใหม่ หรือว่าเป็นเพราะรายได้ไม่ดีอย่างที่พี่โยบอกกันแน่ ?
“มันมีบางเรื่องนะคะที่บีพูดตรงๆ ไม่ได้ แต่จริงอยู่บริษัทเรามีปัญหาเรื่องบัญชี จริงอยู่ที่ภายหลังเรามีทัศนคติไม่ตรงกัน เอาง่ายๆ เลยนะคะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา มันก็มีบางอย่างที่ทำให้มิตรภาพของเราไม่สามารถกลับมาเหมือนเดิมได้ค่ะ”

เงินที่เราได้มาตอนทำบริษัทเป็นเงินที่ได้จากการหลีกเลี่ยงภาษีจริงไหม ?
“สำหรับเรื่องนี้ บีต้องชี้แจงก่อนว่า บีไม่ได้เป็นคนทำธุรกรรมการเงินตั้งแต่แรก ดังนั้นบีต้องรอให้ผู้เชี่ยวชาญด้านบัญชีมาช่วยตรวจสอบก่อนค่ะ อีกอย่างบีมองว่าพี่ๆ ไปถามเขาเองดีกว่าว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันคืออะไร เพราะบีไม่รู้ บีไม่เคยใส่ใจเรื่องเงินมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

ถ้าหลังจากนี้เราเคลียร์เรื่องบัญชีไปแล้ว กังวลไหมว่าจะมีปัญหาเรื่องภาษีเข้ามา ?
“บีไม่กังวลค่ะ เพราะตั้งแต่บีเริ่มทำงานมา บีกล้ายืนยันและกล้าสาบานเลยว่าบีจ่ายภาษีทุกบาททุกสตางค์ไม่เคยหมกเม็ด ไม่เคยหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีเลยสักครั้ง ซึ่งถ้าหากกรณีนี้มันจะมีปัญหาเรื่องภาษีเข้ามาเกี่ยว ก็อย่างที่บีบอกค่ะ บีคิดว่าเราทำถูกต้องมาตั้งแต่แรก และบีก็ไม่เคยรู้เรื่องเงินสักบาทของบริษัท สิ่งเดียวที่ทำให้บีรู้ได้ก็คือวันที่บีเดินเข้าไปขอดูบัญชีว่ามันคืออะไร บีถึงได้โป๊ะแตก รู้แล้วแค่นั้นเองจบ”

แสดงว่าที่ผ่านมาเราไม่เคยขอเขาดูบัญชีเลยสักครั้ง จนกระทั่งมีปัญหา ?
“ใช่ค่ะ เพราะบีไว้ใจให้เขาทำธุรกรรมด้านการเงินแค่เพียงคนเดียว คือถึงไม่มีบีเขาก็สามารถเซ็นเงินเข้าเงินออกได้ตามสบาย ดังนั้นถ้าบีเป็นคนเห็นแก่เงินจริงบีคงไม่โง่ให้เขารับหน้าที่ทำธุรกรรมทางการเงินเพียงคนเดียวหรอกค่ะ”

ยืนยันได้ไหมว่าตอนเริ่มธุรกิจเราลงทุนด้วยกันทั้งคู่ ?
“เราลงทุนด้วยกันจริงๆ เป็นเงินก้อนใหญ่จำนวนหนึ่ง ซึ่งเราแชร์เท่าๆ กัน เพราะเราทำธุรกิจร่วมกันคือโยบี”

เพราะอะไรฝ่ายนั้นถึงบอกว่าเราเป็นหุ้นลม ?
“อันนี้ต้องไปถามเขาว่าทำไมเขาพูดแบบนั้น ตัวบีเองบีก็ยังอึ้ง ขนาดคนที่เขารู้จักเราเห็นเราตั้งแต่วันแรกที่ธุรกิจมันเกิดขึ้นเขายังงงเลยว่าทำไมพี่โยถึงกล้าพูดดิสเครดิตขนาดนี้”

บัญชีที่เราไปตรวจสอบจริงไหมที่เงินหายไปเป็นจำนวน 3,000,000 บาท ?
“อันนี้บีขอไม่พูดถึงค่ะ อย่างที่บอกบีไม่เคยกล่าวหาว่าเขาโกงเงินบริษัทนะคะ”

สิ่งที่เราต้องการตอนนี้คืออะไร ?
“สิ่งที่เขาพูดวันก่อนมันเป็นเหมือนกันดิสเครดิตบี ทำลายชื่อเสียงของบี หาว่าบีเป็นหุ้นลม คือสิ่งที่เขาพูดมันฟังดูเหมือนว่าบีไม่ได้ทำงานอะไรเลย ดังนั้นวันนี้บีก็เลยต้องออกมาชี้แจงว่าความจริงมันคืออะไรค่ะ”

จะเอากฏหมายเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ไหม ?
“ขอไม่พูดถึงค่ะ อยู่ที่ว่าถ้าหากผลออกมาคือบีผิดจริงบีก็พร้อมยอมรับผิดและพร้อมที่จะขอโทษ หรือทำอะไรก็แล้วแต่ที่เขาต้องการ บีไม่กังวลอยู่แล้ว แต่ถ้าหากฝั่งเขาผิดบีก็อยากให้เขาเดินออกมาขอโทษและยอมรับผิดในการกระทำของเขา เท่านี้เองค่ะจบ”

ถ้าสมมุติเงินหายไปจริงๆ แค่เขาขอโทษก็คือจบเลยหรือเปล่า ?
“อันนี้ขอไกล่เกลี่ยหลังบ้านละกันนะคะว่าจะยังไง (ยิ้ม)”

จริงไหมที่เรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นเพราะว่ามี “คุณฮิม” เข้ามาเป็นมือที่ 3 ?
“เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากบุคคลที่ 3 แน่นอน เรื่องนี้มันเกิดจากมิตรภาพของเราที่มันแตกไปแล้ว ยิ่งเราพยายามจะทำให้มันกลับมาเหมือนเดิมมันก็ยิ่งถอยห่าง คือที่พี่โยเขาบอกว่าเขาไม่ได้เที่ยวกับบีเลยเพราะไลฟ์สไตล์ของเราไม่ตรงกัน อันนี้บีขอถามกลับสักหน่อยเถอะว่าก่อนไม่มีธุรกิจตัวนี้ “เรารักกันฉิบหายโอเคปะ”

“ถ้าพวกพี่จำได้ ตอนที่เขาถูกคนอื่นตราหน้าว่าเป็นเมียน้อย แล้วบีออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องเขา ความรู้สึกของบีตอนนั้นก็คือ “บีอยากจะตบกบาลคน ๆ นั้นมาก และจะบังคับให้เขามาขอโทษพี่โย” เพราะว่าบีรักพี่โยมากจริง ๆ บีเถียงแทนเขาทุกอย่าง ไม่ว่าเขาจะผิดหรือถูก เพราะบีรักเขามากและพร้อมที่จะปกป้องเขาเสมอ แต่การที่บีต้องออกมาพูดวันนี้เพราะมีหลายคนไม่เข้าใจในธุรกิจของเรา ดังนั้นบีก็เลยต้องออกมาอธิบายค่ะ”

ถ้าหากในอนาคตทุกอย่างเคลียร์ลงตัวแล้วจะมีโอกาสได้เห็น โยบี อีกไหม ?
“เราพยามปรับความเข้าใจแล้วค่ะ แต่มันทำไม่ได้จริง ๆ แก้วแตกไปแล้วก็ยากที่จะทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม”

แต่พี่โยเขาก็บอกนะว่าเขายังรักเราเหมือนเดิม ?
“ถ้าเขารักบีจริง เมื่อ 2 วันก่อน เขาคงไม่ส่งข้อความมาหรอกว่า ถ้าบีไม่เข้าไปเซ็นเอกสารเขาก็จะส่งทนาย ส่งจดหมายมาให้บี เพราะเขาจะไม่รอ เขาเสียเวลา”

ถ้ามีงานที่มีชื่อเรากับเขาเราจะยินดีรับไหม ?
“บีไม่สนใจค่ะ บียินดีมาก จะมีชื่อใครก็แล้วแต่”

สุดท้ายเรามีอะไรอยากจะฝากไปถึงพี่เขาไหม ?
“เรารู้จักกันมานานมากแล้วนะคะ ตั้งแต่เรายังเด็กทั้งคู่ แต่เรามาสนิทกันจริงจังก็เมื่อช่วง 4 ปี ให้หลังมานี้ และในวันที่เราคบกันโดยที่ไม่มีผลประโยชน์ทางด้านธุรกิจ ทุกอย่างคือมันสวยงามมาก เราแบ่งปันหลาย ๆ อย่างด้วยกัน เราไปเที่ยวด้วยกัน ไปนอนห้องเดียวกัน เรารู้ไส้รู้พุงกันทุกอย่าง คือเรารู้กันว่าใครนิสัยยังไง และถามว่า ณ ตอนนี้ บีเสียดายเวลาเหล่านั้นไหม บียอมรับเลยค่ะว่าบีเสียดาย และบีก็เสียใจมาก เพราะการที่บีรักใครสักคนบีให้ใจเขา 100% บีพร้อมจะให้เขาทุกอย่าง แต่สุดท้ายแล้ววันนี้บีก็ได้รู้ว่าการรู้จักเขามันทำให้บีได้เรียนรู้อะไรขึ้นเยอะ และหลังจากนี้บีก็จะต้องดูให้ดีๆ ก่อน ก่อนที่จะให้ใจใคร 100% เพราะเมื่อมันเจ็บ มันก็จะเจ็บมากจริงๆ ค่ะ”


ขอขอบคุณข่าวจาก