new

 

(29 ต.ค.) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ เรื่อง การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 7) ลงนามโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยระบุว่า ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 26 มี.ค. พ.ศ.2563 และได้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินคราวที่ 6 ออกไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค. พ.ศ.2563 นั้น

โดยที่สถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ยังคงมีความรุนแรง เห็นได้จากจำนวนผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังปรากฏว่ามีการระบาดของโรคดังกล่าวอย่างรุนแรงจนควบคุมไม่ได้แล้วในหลายประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย แม้รัฐบาลจะได้ดำเนินการคัดกรองและตรวจโรคตามมาตรการทางสาธารณสุข อย่างเข้มงวดตามช่องทางเข้าและออกนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายแล้วก็ตาม

แต่ปรากฏว่ามีคนต่างด้าวจากประเทศที่มีการระบาดของโรคอย่างรุนแรงลักลอบเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมายผ่านช่องทางธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีการตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ในประเทศเป็นคนต่างด้าวจากประเทศ ที่มีการระบาดรุนแรงดังกล่าว ทำให้มีความเสี่ยงสูงมากที่อาจจะทำให้เกิดการระบาดแบบกลุ่มก้อน โดยไม่ทราบแหล่งที่มาของโรคและเป็นวงกว้างภายในประเทศได้

ประกอบกับข้อมูลทางสาธารณสุขพบว่าเชื้อโรคได้กลายพันธุ์เป็นหลายสายพันธุ์ ในขณะที่การผลิตวัคซีนและยาเพื่อการป้องกันและรักษาโรคยังไม่ประสบผลสำเร็จ สถานการณ์ดังกล่าวจึงยังคงเป็นภัยอันกระทบต่อความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน ความมั่นคงปลอดภัยทางด้านสาธารณสุข และระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

จึงมีความจำเป็นต้องขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีกคราวหนึ่ง เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวเป็นไปโดยมีเอกภาพ มีประสิทธิภาพรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ โดยมุ่งรักษาไว้ซึ่งความปลอดภัยด้านสุขภาพและชีวิตของประชาชนเป็นสำคัญ

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีตามมติเมื่อวันที่ 28 ต.ค. พ.ศ.2563 จึงให้ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรออกไปอีกคราวหนึ่ง สำหรับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปควบคู่กัน

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. พ.ศ. 2563 จนถึงวันที่ 30 พ.ย. พ.ศ. 2563


ขอขอบคุณข่าวจาก