news

 

แพร เดือดจัด ตั้งโต๊ะแฉรอบสอง หอบหลักฐานโต้ ฟิล์ม ลั่นใครกันแน่พูดไม่จริง

ดูแล้วจะไม่จบลงง่ายๆ เพราะหลังจากนักแสดงหนุ่มจากซีรีส์ น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ “ฟิล์ม ณัฐกวี บุญประเสริฐ” ได้ตั้งโต๊ะแถลงยืนยันถึงความบริสุทธิ์ว่าไม่เคยทำร้ายร่างกายอดีตภรรยา “แพร ชนิตา สุวรรณานุช” และลูกน้อยอย่างที่ฝ่ายหญิงเคยให้สัมภาษณ์ไปอย่างแน่นอน!!!

แต่ล่าสุดเหมือน แพร ชนิตา สุวรรณานุช จะมีหลักฐานเด็ดจึงขอตั้งโต๊ะแถลงอีกครั้งในวันนี้ (25 สิงหาคม) โดยได้เผยตอบโต้ถึงเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังพร้อมนำหลักฐานการพูดคุยต่างๆ มายืนยันให้ฟังว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ตนพูดแต่แรกคือความจริง

จากนี้ขออโหสิกรรม อยากให้เรื่องทุกอย่างจบลง และขอให้เคสตัวเองเป็นเคสสุดท้ายสำหรับเรื่องพวกนี้

“ที่เขาแถลงก็ได้ฟังอยู่นะ แต่ที่รู้สึกว่าฟังแล้วเป็นเรื่องจริงก็คือเขายอมรับว่าเขาเป็นพ่อแล้วเราขายขนมจีบด้วยกัน แค่นั้น”

เรื่องทำร้ายลูกที่ขัดแย้งกัน?
“ดูไลน์ค่ะ ที่เขาแชทมาขอเลิกกับเรา เขาก็บอกว่าฉันไม่อยากทำร้ายเธอด้วยความรุนแรงแบบนี้อีกแล้ว เขายอมรับว่าเขาเจ้าชู้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับพอร์ช เขายอมรับด้วยตัวเขาเองว่าเขาไม่อยากทำร้ายเราด้วยความรุนแรง แล้วที่เขาว่าเขาไม่เคยตามเทียวไร้เทียวขือเรา แต่เขาก็ยังไลน์มาตามทุกครั้ง ฉันอยากรู้เธอทำอะไร ฉันเหนื่อยก็อยากกอดเธอ อยากไปเที่ยวที่เธออยากไป ฉันรู้สึกเป็นเดอะฮักเลยที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาก็ไลน์มาดราม่าคิดถึงเรื่องเก่าๆ เมื่อคืนฉันฝันถึงเธอด้วย จิตใต้สำนึกฉันมันคิดถึงแต่เรื่องเธอ เหมือนเราเคยมีกันและกันเลิกไปมันเลยรู้สึกขัดๆ ถ้าย้อนเวลาฉันจะย้อนไปวันที่ตัดสินใจกลับมาทำงานตรงนี้อีกไหม เขาจะเลือกไม่ทำแล้วจะขายขนมจีบด้วยกันต่อไปเรื่อยๆ นี่เป็นข้อความที่คุยกันตอนที่เขาขอเลิกกับเราไปแล้วแต่เราก็ยังคุยกันอยู่”

“ประเด็นที่เขาปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ทำร้ายลูก ในส่วนนี่พี่สาวของเขาได้ติดต่อเรามาทางเฟซบุ๊ค พี่สาวกับพ่อของเขาเพิ่มทราบเรื่องว่ามีน้องพอร์ช ก็เข้ามาขอโทษแทนเขา ก็บอกว่าอาจจะไม่สามารถขอโทษแทนตัวผู้ชายได้นะแต่ก็อยากจะขอโทษ แล้วเขาก็ได้คุยกับน้องชายเขาแล้ว เขาก็รับสารภาพว่าเขาทำจริงๆ พี่สาวคุยกับเราบอกว่า ทางผู้ชายโทรมาหาเราทางเฟซบุ๊ค ว่เราเสียๆ หายๆ ว่าไม่ยอมฟังยอมเตี๋ยมกับมันก่อน แล้วเอ่ยชื่อเราว่าอีแพร์ อย่าไปคุยกับมันอีกนะ พี่สาวเขาก็มาบอกเรา หลังจากนั้นเขาก็ไปว่าพี่สาวเขาว่าโพสต์อย่างนั้นทำไม หลังจากที่พี่สาวเขาและพ่อเขาโพสต์ขอโทษแพร์จริงๆ ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน ทางผู้ชายก็ไปต่อว่าพี่สาวว่าเขาไม่โอเคที่โพสต์ไปแบบนั้น”

“พี่สาวเขาก็มาเล่าว่าน้องชายเขามาโวยวาย ว่าจะทำอะไรก็ทำเลยนะกูไม่เคยเห็นมึงเป็นพี่อยู่แล้ว เงินสักบาทก็ไม่เคยช่วย พ่อปู่ย่าห่านั่นอ่ะไม่ใช่ญาติกู มีแต่อยากเห็นกูตกต่ำ นี่คือคำที่พี่สาวเขาบอกมา”

“แล้วก็จะมีไลน์ของพี่สาวเขาที่เขาคุยกับน้องเขาส่งมาให้แพร์ ซึ่งเขายอมรับว่ามันร้อง เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ พี่สาวเขาก็ถามว่าจะทำยังไงต่อเขาก็บอกช่างมันเหอะปล่อยวางแล้ว คือตัวผู้ชายยอมรับกับตัวพี่สาวว่าเขาทำจริงๆ พี่สาวเขาบอกว่าตอนแรกเหมือนตัวน้องชายเขาอ่อนลงเริ่มที่จะยอมรับแต่ก็ไม่รู้ว่าเขาไปคุยกับใครถึงกลายเป็นว่าเขาเฟซบุ๊คมาด่าพี่เขา ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วออกมาแถลงข่าวไม่ยอมรับ”

ทำไมพี่สาวเขาถึงมาซับพอร์ตเราทั้งๆ ที่ฟิล์มเป็นน้องแท้ๆ ของเขา?
“เขาพูดกับเราเลยว่า น้องเขารักนะไม่ใช่ไม่รัก แต่เขาไม่อยากรักแบบพ่อแม่รังแกฉัน ทางพ่อก็รักแต่ด้วยความที่โตมาคนละครอบครัว เขาไม่ได้ใกล้ชิดผูกพันแต่เขาก็พยายามจะสอนตลอด เขาเลยรู้สึกว่าถ้าน้องเขาต้องเป็นดาราแล้วเป็นดาราที่นิสัยไม่ดีเขายอมให้น้องไม่เป็นดาราดีกว่า เขาอยากเอาน้องเขาออกมาเพื่อรับผิดชอบ ทำหน้าที่ที่ควรทำ ไม่ใช่ว่าออกมาปฏิเสธแล้วอยู่กับความสังคม ความหน้าตาดีแบบนี้ เขาบอกว่าถ้ารักตัวผู้ชายจริงๆต้องดึงเขาออกมา ไม่ใช่ถลำให้เขาทำผิดซ้ำไปอีก”

เรารู้สึกยังไงบ้างที่พี่สาวเขาเข้าข้างเราไม่เข้าข้างฟิล์ม?
“เฉยๆ ก่อนในตอนแรกเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นยังไง ก็รู้สึกว่าเขาก็พูดถูกในหลายเรื่อง ก็รู้สึกดีที่ยังมีความถูกต้องอยู่บนโลกใบนี้”

แม่ฟิล์มบอกว่าเพิ่งทราบเรื่องเพราะข่าวที่ออกมา?
“แพร์ไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่เขาทราบตั้งแต่ที่แพร์ท้องได้ 6 เดือน เขาก็ทราบเรื่องแล้วไม่ใช่ว่าเพิ่งมาทราบ ก็ไม่รู้เหมือนกันแต่ก็มีหลักฐานเป็นแชทที่คุยกัน แพร์เริ่มเปิดว่าแพร์มีลูกตอนเขาได้ 1 ขวบ ก็เอารูปลูกโพสต์เฟซบุ๊ค น้าเขาก็แชทมาว่าจริงรึเปล่า ใช่ลูกเธอกับหลานเขาไหม อย่าลบเขาออกจากเฟซบุ๊คนะ ตัวผู้ชายไม่ยอม เหมือนพอเราเปิดเผยตัวก็ไลน์มาต่อว่าว่าเราทำให้ที่บ้านเขาทะเลาะกัน ถ้าเรื่องนี้ถึงหูยาย ยายจะไม่ส่งเงิน เธอไม่คิด ฉันเครียดมากแทนที่จะอยู่บ้านได้ต้องออกไปอยู่ที่อื่น เราก็บอกว่าเราผิดอะไร นี่คือลูกฉันแล้วฉันไม่ได้เปิดเผยว่าฉันมีลูกกับใคร คือเรากลายเป็นคนผิดที่ทำให้น้าๆ ญาติเขารู้ ตอนนั้นน้าเขาเองดีกับเรามาก ไม่โกรธไม่เกลียดเรา เพราะเขายังพิมพ์มาบอกว่าอย่าลบเขาออกนะ ยังคุยกับเขาได้อยู่นะ”

“ส่วนคุณแม่เขาที่บอกว่าเพิ่งทราบว่าเรามีลูก เราก็มีหลักฐานเป็นแชทจากเฟซบุ๊คเขาทักมาหาเรา เมื่อวันที่ 9 เม.ย. สืบเนื่องมาจากเราอินจากการดูละครสะท้อนสังคม จึงโพสต์เฟซบุ๊คว่า เด็กจะโตมายังไงก็แล้วแต่จุดเริ่มต้นมาจากพ่อแม่และการเลี้ยงดู จากนั้นแม่เขาก็ทักมาว่า จะพูดจะโพสต์อะไรให้มันเกรงใจบ้าง คนที่ต้องถูกสั่งสอนมากๆ ก็คือเธอ เป็นแม่คนต้องรับผิดชอบหลายอย่างจะสนใจใครทำไมว่าจะเอาลูกไหม ที่เขาบอกว่า เขาคิดว่าน้องพอร์ชคือหลานเรา อันนี้คือประเด็นที่เขายอมรับด้วยตัวเขาเองว่า เราเป็นแม่คน นั่นแสดงว่าเขารู้แล้วว่าเรามีลูกแล้ว และเขาก็ด่าเราค่อนข้างแรง แล้วอะไรที่คุณแม่บอกว่าพอร์ชเป็นหลาน เขารู้มาตลอดตามหลักความจริงว่าพอร์ชคือลูกของเราคือหลานของเขา ถ้าหลักฐานเอกสารแน่ชัดเราไม่มี แต่ถ้าเป็นคำพูดตอนน้องเกิด เขาไม่ให้ลูกชายเซ็นรับรองบุตร เพราะกลัวเรื่องของเอกสารทะเบียนราษฎร์ คุณแม่จะให้สามีใหม่เขาเซ็นรับเป็นพ่อแทน แต่เราไม่ยอมด้วยความเป็นแม่ สุดท้ายเราได้ขอทางผู้ชายให้เซ็นตามที่แถลงไปตอนแรก”

“ที่เขาแถลงแล้วพูดว่าเขารักลูก ต้องบอกว่าจะมีช่วงนึงที่แพร์ขอเอกสารเพื่อจะทำพาสสปอร์ตให้น้อง เราก็ไปศึกษาว่าต้องใช้เอกสารบิดาไหม ก็ไปบอกเขาว่ามันต้องใช้นะ เขาตอบกลับมาว่าไม่รู้ไม่ต้องใช้ก็ได้มั้ง ก็บอกไปว่าพ่อเด็กตายหรือว่าเลิกไปแล้วก็ได้ นี่เหรอคะที่บอกว่ารักลูก”

เขาบอกว่าอยากเจอลูกมาก แต่เหมือนเราขัดขวางไม่ให้เจอ?
“แพรไม่เคยเลยที่จะไม่ให้เขาเจอลูก เขารู้หมดว่าบ้านเราอยู่ไหน แล้วลูกจะอยู่ที่ไหน ชีวิตประจำวันเราไม่ได้ทำอะไรมาก ถ้าเขาคิดถึงลูกจริงๆ หรือรักลูกจริงๆ ไม่อยากที่จะมาเจอ เราไม่ใช่คุณแม่ใจยักษ์ใจมาร คุณแม่เขามีโอกาสได้เจอหลานแล้วตอนน้องเกือบ 1 ขวบ เราก็มีหลักฐานแน่นอนไม่ได้พูดลอยๆ”

เขาแถลงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาหมดเลย พูดหนังคนละม้วนกับเราเลย?
“เราขอคุยด้วยหลักฐานดีกว่า ใครๆ ก็ออกมาพูดได้ว่า เธอทำร้ายลูก ฉันไม่ได้ทำร้ายลูก ถ้าไม่มีหลักฐานตรงนี้เอาตามหลักความจริงก็ได้ คิดว่าแพร์เป็นแม่ที่อยู่ดีๆ จะตีลูกตัวเองให้เขียวเล่นๆ แล้วถ่ายรูปเก็บไว้ตั้งแต่ 3 เดือนด้วยนะ จะทำไปเพื่ออะไร ถามว่าทำไมเราเพิ่งออกมาพูดตอนนี้ เรากับเขาไม่ใช่เพิ่งเลิกกัน เราผ่านการเลิกผ่านการให้อภัยมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ครั้งนี้มันไม่ใช่ประเด็นหึงหวง เราทำแบบนี้เพราะอยากจะออกมาจากชีวิตเขาแล้ว ฉันอยากจะไปมีอนาคตของฉันแล้ว คุณก็ไปมีอนาคตของคุณ ถ้าเราอยากจะไปดึงเขากลับไปจะมาทำแบบนี้ไหม เราไม่อยากจะดึงเขากลับมาเลย เรามีแต่อยากให้เขาไปจากชีวิตเรา แต่เขาก็ยังมาวนเวียนอยู่ในชีวิตเราก็ไม่อยากจะอยู่กับความซ้ำๆ ซากๆ แล้ว ครั้งนี้แพร์เรียกว่าอโหสิกรรมเลยดีกว่า แต่ถ้าเขายังยืนยันว่ารักลูกมาก ก็ให้เป็นสิทธิ์ของลูกตัดสินว่าอยากจะเจอพ่อเขาไหม เราไม่ไปกีดกันเพราะเขาเป็นพ่อลูกกัน”

เมื่อวานเขาขอโทษแพร์ และขอโอกาสจากสังคม ให้อภัยเขาได้ไหม?
“อโหสิกรรมให้ค่ะ อโหสิกรรมก็คือการให้อภัยแล้วนะ ให้อภัยคืออาจจะมีการวนเวียนกลับมา แต่อโหสิกรรมคือขาดเลย”

สรุปจะไม่มีการฟ้องร้องเกิดขึ้นใช่ไหม?
“ไม่มีค่ะ ถ้าจะทำ ทำไปนานแล้ว”

กลัวไหมว่าฝ่ายชายจะหอบหลักฐานออกมาโต้ตอบอีกครั้ง?
“หนูก็จะสู้ไปกับลูกค่ะ ผิดว่าตามผิด เราว่าไปตามความจริง เราสู้ด้วยความจริงดีกว่า อย่าสู้ด้วยคำโกหกค่ะ มันเหนื่อย”

ทางเขาก็บอกเราพูดไม่หมดจากที่แถลงตอนแรก ไม่ได้บอกว่าเราเป็นครูฝึกสอน?
“เราอาจจะไม่ได้แบบลงรายละเอียดว่ามันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น แต่ถามว่าเจอกันที่โรงเรียนไหม ใช่ค่ะ เราเจอกันวันแม่ที่ 12 สิงหา ซึ่งเป็นช่วงตอนปลายจะจบเทอมต้น พอปิดเทอมเราถึงตัดสินใจที่จะคุยกับเขา คบกับเขา เพราะเขาก็พูดเองว่าเมื่อคุณออกไปข้างนอกก็เป็นคนธรรมดาทั่วไปแล้วนะ ไม่ได้สอนเขาหรืออยู่ในโรงเรียนนั้นแล้ว เราจึงตัดสินใจที่จะคบกัน คือเทอมสองเราไม่ได้อยู่โรงเรียนเดียวกับเขาแล้ว ไปฝึกอีกสถาบัน ต่างเทอมก็ต่างที่”

ก่อนหน้าเลยมีกระแสข่าวออกมาว่าคุณครูจีบนักเรียน?
“เราเริ่มต้นความสัมพันธ์เหมือนรุ่นพี่รุ่นน้องเลย แต่ถ้าถามว่าเจอกัน จุดเริ่มต้น มันเจอกันที่โรงเรียน แต่เราคบกันหลังจากปิดเทอมแล้ว เขาจีบเรานับจากวันนั้น โดยใช้วิธีการเหมือนที่เขาแถลงค่ะ โดยปรึกษาว่าอยากจะเข้าวิศวะ แต่เขาเรียนศิลป์คำนวณเข้าวิศวะไม่ได้ เราก็เลยให้คำปรึกษาเพื่อที่จะเป็นแนวทางในการไปเข้ามหาวิทยาลัยแค่นั้น แต่หลังจากนั้นก็มีการคุย มีการจีบพาไปนู้นไปนี้ พอสิงหาคมมันก็ปลายแล้ว ตุลาคมก็ปิดเทอม หลังจากนั้นเดือนสองเดือนเราก็ถึงค่อยเริ่มสานความสัมพันธ์”

ตั้งแต่มีเรื่องเขาติดต่อเรามาบ้างหรือยัง?
“ไม่เลยค่ะ”

เมื่อวานทางคุณแม่เขาบอกจะเป็นกาวใจให้เรากลับคืนมาคุยกันอีกครั้ง?
“ไม่เลยค่ะ คือจริงๆ เขามีเบอร์แม่เรานะ แม่เราไม่ได้บล็อคเบอร์เขา มีแต่เราที่บล็อคเบอร์เขา เพราะเราไม่ขอยุ่งเกี่ยวอะไรอีกแล้ว แต่ถ้าเขาจะติดต่อในเรื่องของลูก อย่างที่บอกค่ะ เราไม่ใช่เซเลป เขารู้ชีวิตประจำวันและรู้ว่าบ้านเราอยู่ที่ไหน ถ้าเขาอยากจะเจอน้องพอร์ชมันง่ายมากเลย ง่ายกว่าที่หนูอยากจะไปเจอเขาด้วยซ้ำ”

ถ้าเขาติดต่อมาเราอยากจะคุยหรือเคลียร์อะไรไหม?
“ยืนยันคำเดิมค่ะ เราไม่มีอะไรต้องคุยหรือต้องเคลียร์กันแล้ว มันก็อยู่ที่เขาค่ะ หลักฐานทั้งหมดเป็นความจริง แพร์ไม่ได้มานั่งปั้นหรือมโนอะไรขึ้นมา”

เราอยากได้คำขอโทษ หรืออยากให้เขาชดใช้อะไรหรือเปล่า?
“ไม่ค่ะ ไม่มีประโยชน์ต่อแพร์ คำขอโทษหรือสิ่งชดใช้อะไรไม่ได้ทำให้ชีวิตแพร์ดีขึ้นหรือแย่ลง”

อยากให้เรื่องนี้จบลงยังไง?
“ก็จบแบบที่แพร์ออกมายืนยัน คือเมื่อวานที่เขาออกมาปฏิเสธโดยเขาทำให้แพร์โดนสังคมตราหน้าว่ากุเรื่อง สร้างเรื่องโกหก เพราะฉะนั้นแพร์ก็ออกมายืนยันว่าแพร์ไม่ได้โกหก แค่นั้นจบ แพร์ว่าสังคมตัดสินได้ค่ะ”

เมื่อวานเขาบอกอยากจะจบทุกอย่าง ไม่อยากให้ขุดคุ้นอะไรแล้ว?
“ก็ขอให้เขาจบจริงๆ นะคะ เพราะเราจบแล้ว เราจะจบได้ต่อเมื่อเราเป็นผู้บริสุทธิ์ หนูออกมายืนยันความบริสุทธิ์ของหนู ที่หนูแถลงเพราะอยากให้ทุกคนรู้ความจริงเป็นยังไง ใครโกหก ใครไม่โกหก เรารู้อยู่แก่ใจ แต่คนภายนอกเขาไม่ได้อยู่ใต้เตียงเราเขาไม่รู้หรอก อยู่ที่เขาว่าจะจบไหมหรือจะทำอะไรอีก”

ถ้าเขาออกมาอีก เราจะทำยังไง จะไปประชันหน้าเลยไหม?
“ก็อยู่ที่ว่าเขาจะออกมาในรูปแบบไหน อย่างที่บอกไปว่าแพร์จะไม่ออกมาแล้วถ้าไม่กระทบแพร์กับลูก แต่ก่อนหน้าที่เขาออกมาคือมันกระทบมาบอกว่าเราพูดไม่จริง เราเลยต้องออกมาพูดอีก แต่ถ้าเขาจะออกมาพูดแล้วให้กระทบเราอีก เราก็ต้องออกมาต่อสู้ค่ะ อยากให้เป็นเคสสุดท้ายจริงๆ คือไม่รู้ว่ามันจะมีบ่วงกรรมแบบนี้เกิดขึ้นอีกไหม ขอให้แพร์ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่เถอะ แพร์ออกมาแล้วไม่ขอเดินกลับไปอีก”

ความรู้สึกรักหรือมีเยื้อใยยังหลงเหลืออยู่กับผู้ชายคนนี้หรือเปล่า?
“มันรักไม่ลงค่ะ มันไม่เหลือแล้วอ่ะ พยายามจะให้ความเป็นพ่อของลูกนะคะ แต่มันก็อยู่ที่ตัวเขาว่าพยายามจะทำตัวเป็นพ่อของลูกหรือเปล่า ปากเขาบอกว่ารักลูก คิดถึงลูก อยากเจอลูก แต่มันก็ยังเป็นแบบเดิม ไม่มีประโยชน์อะไร”

เสียใจไหมที่ครั้งนึงเคยรักผู้ชายคนนี้?
“แพร์ยอมรับนะคะว่ามันเป็นความผิดพลาดของตัวเรา แต่คนทุกคนต้องมีความผิดพลาดเนอะ ไม่มีใครจะเพอร์เฟ็คตลอด แต่แพร์ขอเอาความผิดพลาดครั้งนี้เป็นบทเรียนในชีวิต ให้มันเป็นบทเรียนราคาแพงที่สุดของชีวิตแพร์เลยดีกว่า”

มีอะไรอยากบอกกับสังคมสำหรับบทเรียนครั้งนี้ไหม?
“แพร์ว่าในสังคมเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดขึ้นอีกแน่นอน จะเกิดกับใครก็ไม่รู้ จะเป็นข่าวหรือไม่เป็นข่าวเท่านั้นเอง อยากบอกแค่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่ให้ใช้สติมากกว่าอารมณ์ ถ้าเราเห็นว่าความถูกใจ พอใจ มาก่อนความถูกต้องเหมาะสม เมื่อนั้นชีวิตก็พัง แต่แพร์ไม่ได้ท้อกับชีวิตถึงกับต้องคิดสั้น คิดว่ามีชีวิตอยู่ไม่ได้แล้วเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ แพร์คิดเสมอค่ะวันนี้ไม่ใช่วันที่แย่ที่สุดของแพร์หรอก มันต้องมีวันที่แย่กว่านี้อีก และต้องมีวันที่ดีกว่านี้อีกแน่นอน”

คิดไหมว่าการที่เราออกมาพูดจะทำให้ฝ่ายชายอยู่ในวงการบันเทิงต่อไปไม่ได้แล้ว?
“มันก็ไม่ใช่ตัวแพร์ทำนะ มันก็เป็นตัวเขาทำ ถ้าเขาเป็นคนดีก็ไม่มีใครออกมาแฉเขาได้ถูกไหมคะ”

อยากให้อธิบายตอนที่เขายอมรับกับพี่สาวว่าเขาทุบตีลูกอีกครั้ง?
“ในไลน์ใช่ไหมคะ เขาบอกว่ามันร้องเลยควบคุมตัวเองไม่ได้”

แต่เมื่อวานเขายอมรับว่าเคยตีลูกตอนหนึ่งขวบเพราะลูกดื้อ?
“ตีเพราะสั่งสอนก็มีเกิดขึ้น แต่ไม่ได้รุนแรงเท่าตอนสามเดือน และที่เขาบอกไม่เคยทำร้ายร่างกายแพร์ ทำลายแต่ข้าวของใช่ไหม ทำร้ายข้าวของก็ทำแต่แพร์ไม่มีหลักฐาน ส่วนทำร้ายร่างกายแพร์มีหลักฐานค่ะ แต่ไม่เห็นหน้าแพร์นะ หากไม่เชื่อเดี๋ยวแพร์จะเอาชุดนี้มาให้ดู ยังมีชุดนี้อยู่ ประมาณ 6 เดือนที่แล้วค่ะ ส่วนมากที่จะทะเลาะเชื่อไหมว่าจำไม่ได้ มันไม่น่าจำอ่ะ แต่ถ้าพูดเรื่องหึงหวงบอกเลยว่าไม่ เพราะโทรศัพท์เขากับโทรศัพท์เราคนละโลกเลย ไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวกัน แต่ถ้าทะเลาะจะเป็นเพราะเขาชอบแกล้งให้เราโมโหหรือหงุดหงิด”

โดนทำร้ายบ่อยไหม?
“2-3 ครั้งค่ะ ด้วยเรื่องพวกนี้ จะไม่ใช่เรื่องหึงหวงเลย จะมีแต่เรื่องงี่เง้าที่ไม่น่าทะเลาะ”

ฟิล์มบอกว่าตั้งแต่เกิดเรื่องเครียดถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย?
“มันก็ไม่เกี่ยวกับแพร์แล้วเนอะ แต่ว่าถ้าถามความรู้สึกจริงๆ อยากฝากบอกเขาว่าปัญหาที่เขาเจอตอนนี้ไม่เท่าที่แพร์เจอมาตลอดนะ สิ่งที่แพร์เจอมาตลอดบวกกับสิ่งที่แพร์ต้องดำเนินชีวิตต่อไปมันหนักหนากว่าที่เขาเจออีก ถ้าเขาคิดได้แค่ว่าเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว มันก็ไม่มีใครช่วยเขาได้แล้วค่ะ ถ้ามนุษย์แม่คนไหนเคยเป็นมนุษย์แม่หรือซิงเกิ้ลมัมจะรู้เลยว่ามันต้องการกำลังใจ มันเหนื่อยมาก เหนื่อยจนน้ำตาไหล แต่เหนื่อยแค่ไหนพอเห็นหน้าลูก ความเหนื่อยมันหายไปหมดเลย ถ้าเขารักลูกเหมือนที่เขาพูดนะคะ เขาจะอยากมีกำลังใจ อยากมีชีวิตอยู่ต่อค่ะ โดยที่ไม่ต้องมีใครมาดึงมาเติมเขาเลย”

เห็นว่าอนาคตเราก็ดี เรียนจบแล้วต้องไปทำงานที่ญี่ปุ่น แต่พอมีลูกเลยต้องอยู่แบบนี้?
“ใช่ค่ะ เหมือนที่เขาบอกว่าเพศแม่หรือเพศหญิงยอมที่จะให้อนาคตตัวเองเป็นยังไงก็ได้เพื่อลูกเพื่อครอบครัว ก็อยากจะบอกเขาว่าเราก็เสียสละแล้วนะในจุดๆ นึง มันถึงเวลาแล้วที่เขาต้องเสียสละบ้าง มันไม่มีใครหรอกที่จะเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ไปตลอดค่ะ”

เห็นบอกว่าแพมเพิสเราต้องไปซื้อเอง เขาไม่ไปซื้อให้ เพราะเขาบอกว่าเขาเป็นดารา?
“จุดนี้คือจริง คือเขาไม่สามารถที่จะหิ้วแพมเพิสห่อใหญ่ๆ ได้ เพราะว่าคนจะสงสัยได้ว่าเขาซื้อแพมเพิสไปให้ใคร เราก็หิ้วเอง ไม่มีรถก็หิ้วนั่งมอไซด์ไป”

เชื่อไหมที่เขาบอกว่าถ้าเขาดัง มีเงินจะยอมเปิดเผยครอบครัว?
“เอาแค่ปัจจุบันนี้ดีกว่าค่ะ เขากล้าเผชิญความจริงหรือเปล่า ถ้าปัจจุบันคุณกล้าเผชิญความจริง อนาคตมันดีแน่นอน หนูไม่กล้าคาดหวังถึงอนาคตค่ะ”

แม่เขาเครียดมากที่ลูกจะฆ่าตัวตาย แม่เราเครียดไหม?
“ไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูกเนอะ แม่หนูก็รักหนูค่ะ แม่แต่ละคนมีวิธีการจัดการ เลี้ยงดูหรือบ่มเพาะลูกไม่เหมือนกัน แม่หนูไม่ใช่ไม่เครียด แต่เขาก็อยากที่จะให้อภัย เขาพูดกับหนูมาคำนึงว่าเธอชนะแล้วเธอสวมมงกุฎอยู่ในนรกเธอโอเคไหม หนูก็เลยบอกว่าเมื่อก่อนหนูก็อยู่ในนรกมาตลอดนะแม่ แต่หนูไม่ได้สวมมงกุฎแค่นั่นเอง”


ขอขอบคุณข่าวจาก