news

 

เรื่องย่อ รากนครา:
เรื่องเริ่มขึ้นกลางดึก ณ ลานหินกว้างบนยอดภูผาเมือง ชายคนหนึ่งกำลังรอศัตรูคู่อาฆาตซึ่งนัดกันไว้ เวลาผ่านไปด้วยความตึงเครียด ชายอีกคนก็ปรากฏกายขึ้น ชายคนแรกพอใจที่อย่างน้อยศัตรูก็กล้าเผชิญหน้ากับเขาเพียงลำพังทั้งๆ ที่สถานที่แห่งนี้เป็นดินแดนของฝ่ายศัตรู อย่างไรก็ดี เขาสังเกตเห็นว่าศัตรูรูปร่างบอบบางกว่าที่เขาคิด ทว่าด้วยความเคียดแค้น เขาจึงไม่เสียเวลาสนใจ ทันทีที่เผชิญหน้ากัน ทั้งสองฝ่ายก็ปรี่เข้าหากันด้วยความเกรี้ยวกราด ต่างฝ่ายต่างรับรู้กันว่าต้องมีคนหนึ่งตาย ความแค้นจึงยุติ….

เรื่องเล่าย้อนอดีตไปตามลำดับเวลาของเรื่อง ในปี พ.ศ.2427 เจ้าศุขวงศ์ หรือ เจ้าน้อย เดินทางกลับมาบ้านเกิดหลังจากที่จากไปเป็นเวลาถึง 15 ปี เขาเป็นบุตรชายคนเดียวของ เจ้าราชบุตรศุษิระ ผู้ล่วงลับ เจ้าศุษิระเป็นผู้มีความคิดสมัยใหม่ เมื่อเห็นว่าอาณาจักรของเขาและบ้านพี่เมืองน้องในดินแดนล้านนาไม่สามารถดำรงความเป็นอิสระไว้ได้ จำเป็นต้องอาศัยบารมีของสยามเพื่อปกป้องแผ่นดินจากการตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตก เจ้าศุษิระจึงส่งเจ้าศุขวงศ์ไปศึกษาที่สิงคโปร์ตั้งแต่อายุได้เพียง 10 ขวบ เป็นที่น่าเสียดายว่าหลังจากนั้นเพียงหนึ่งปี ทั้งเจ้าศุษิระและชายาก็ล้มป่วยเสียชีวิต หลังจากเจ้าศุขวงศ์เรียนจบ เขาได้กลับมารับราชการในราชสำนักสยาม ด้วยเหตุนี้ เจ้าศุขวงศ์จึงรับเอาความคิดทั้งจากเจ้าพ่อของเขาและนโยบายที่เขาได้รับการบ่มเพาะจากสยามไว้อย่างแน่นแฟ้น ในฐานะที่มีเชื้อสายเจ้าประเทศราช เจ้าศุขวงศ์เป็นชาวพื้นเมืองล้านนาเพียงคนเดียวที่สยามไว้ใจส่งกลับไปทำงานที่บ้านเกิดในฐานะผู้แทนสยาม เพื่อสร้างความเข้าใจกับเจ้าประเทศราชแถบล้านนาทั้งหมด โดยมีเป้าหมายหลักในการเตรียมความพร้อมสำหรับอาณาจักรล้านนาให้อยู่ภายใต้การปกครองของสยามอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต ด้วยเหตุนี้ ภารกิจหลักซึ่งกลายเป้าหมายสำคัญที่สุดในชีวิตของเจ้าศุขวงศ์ก็คือ การสร้างความเข้าใจกับเจ้าหลวงของประเทศราชแถบล้านนาทั้งหลายตลอดจนพลเมืองให้ปรับเปลี่ยนความคิด ยอมอยู่ใต้อำนาจการปกครองของสยามซึ่งต้องการถ่ายโอนอำนาจจากเจ้าหลวงมาอยู่ในมือของข้าหลวงพิเศษจากสยาม และกลายเป็นมณฑลพายัพในที่สุด ทั้งนี้ เพื่อความเป็นปึกแผ่นมั่นคงของราชอาณาจักรสยาม ทำให้ทั้งสยามและหัวเมืองประเทศราชทั้งหมดมีความเจริญทัดเทียมตะวันตกจนไม่มีข้ออ้างให้ตะวันตกยึดเป็นเมืองขึ้นได้

เจ้าศุขวงศ์ได้พา มิสเตอร์จอห์น แบร็กกิ้น ฝรั่งชาวอังกฤษซึ่งสนใจสำรวจป่าเพื่อหาลู่ทางทำไม้เดินทางกลับบ้านเกิดพร้อมกันกับเขา แท้จริงแล้วนั้นแบร็กกิ้นมีเบื้องหลังเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทบริติช บอร์เนียว บริษัทสัมปทานทำไม้ขนาดใหญ่ซึ่งมีอิทธิพลมาก แบร็กกิ้นมีความประสงค์ที่จะมาสอดส่องทรัพยากรป่าไม้ในดินแดนล้านนาเพื่อประโยชน์ทางธุรกิจของอังกฤษในอนาคต เจ้าศุขวงศ์เคยมีบุญคุณช่วยชีวิตแบร็กกิ้นไว้ ทั้งสองเป็นทั้งเพื่อนที่รู้ใจและรู้เท่าทันกันทุกอย่าง เจ้าศุขวงศ์จึงตัดสินใจให้แบรกกิ้นอยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลาเพื่อที่จะสามารถควบคุมแบรกกิ้นได้โดยง่าย การพาฝรั่งกลับบ้าน อีกทั้งการแต่งกายแบบสยามซึ่งรับเอาวัฒนธรรมตะวันตกของเจ้าศุขวงศ์ ทำให้ เจ้าแม่เรือนคำ ย่าของเขาไม่พอใจ เจ้าศุขวงศ์พยายามหว่านล้อมให้เจ้าย่าเห็นว่าการพาแบร็กกิ้นมาด้วยแทนที่จะปล่อยให้แบรกกิ้นเข้ามาสำรวจป่าตามใจชอบนั้นเป็นประโยชน์ต่อบ้านเกิดเมืองนอน เพราะทำให้เขารู้เท่าทันและสามารถรักษาผลประโยชน์ของอาณาจักรได้ เจ้าแม่เรือนคำไม่ใคร่พอใจ เธอรู้สึกว่าหลานชายมีความคล้ายคลึงเจ้าพ่อของเขาที่ชอบความเปลี่ยนแปลง ความทันสมัย ไม่รักบ้านเกิดเมืองนอนเท่าที่ควร แต่ด้วยความรักหลาน เจ้าแม่เรือนคำก็ใจอ่อน

เจ้าศุขวงศ์พยายามหว่านล้อมเจ้าอาของเขา เจ้าหลวงศรีวงศ์ เจ้าหลวงคนปัจจุบันให้ยอมออกใบอนุญาตสำรวจป่าให้แบร็กกิ้น และศุขวงศ์ยังต้องการเข้าร่วมทุนทำไม้กับแบร็กกิ้นเพื่อควบคุมและรักษาสิทธิในการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรป่าไม้ เจ้าหลวงศรีวงศ์ยอมตกลงตามความประสงค์ของศุขวงศ์เพราะฝ่ายหลังแสดงให้เห็นชัดเจนว่าไม่ต้องการขวางเส้นทางไปสู่อำนาจของ เจ้าจักรคำ ลูกชายของตน ทำให้เจ้าหลวงศรีวงศ์รู้สึกสบายใจขึ้น แม้เขาจะเห็นว่าการเป็นพ่อค้าเป็นอาชีพที่ไม่สมศักดิ์ศรีของความเป็นเจ้าก็ตาม อินทร ข้าเก่าคนสนิทของเจ้าศุษิระได้แสดงตัวขอเป็นผู้รับใช้เจ้าศุขวงศ์ด้วยความจงรักภักดี

วันหนึ่ง เจ้าหลวงศรีวงษ์บัญชาให้เจ้าศุขวงศ์เป็นผู้แทนเดินทางไปร่วมงานศพของ เจ้าสิงห์คำ เจ้าอุปราชเมืองเชียงเงินซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติ ศุขวงศ์จำต้องพาแบร็กกิ้นเดินทางไปด้วยเพราะไม่ไว้ใจให้แบร็กกิ้นอยู่ไกลสายตา ที่เชียงเงินซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ และเป็นประเทศราชของสยามด้วยเช่นกัน ศุขวงศ์ได้พบกับ เจ้าแม้นเมือง บุตรสาวคนโตของ เจ้าหลวงแสนอินทะ และ เจ้ากาบแก้ว กลางดงชมพูป่าซึ่งออกดอกสีชมพูสะพรั่งเพียง 10 วันในแต่ละปีเท่านั้น ศุขวงศ์รู้สึกสนใจในตัวแม้นเมืองมากเนื่องจากประทับใจในความเป็นตัวของตัวเองของเธอ จากการสังเกต ศุขวงศ์พบว่าแม้นเมืองมีสถานภาพเป็นรอง เจ้ามิ่งหล้า น้องสาวต่างมารดามากทั้งๆ ที่แม้นเมืองเป็นพี่สาว เนื่องจาก เจ้านางข่ายคำ เจ้านางหลวงคนปัจจุบันซึ่งเป็นมารดาของมิ่งหล้าและมีศักดิ์เป็นน้าแท้ๆ ของแม้นเมืองเลี้ยงดูให้แม้นเมืองต้องยอมมิ่งหล้าทุกอย่างด้วยความกลัวว่าแม้นเมืองจะได้ดีกว่าลูกสาวของตน ศุขวงศ์ยังได้รู้จักกับ เจ้าหน่อเมือง พี่ชายแท้ๆ ของแม้นเมืองซึ่งได้รับตำแหน่งเจ้าอุปราชต่อจากเจ้าสิงห์คำผู้ล่วงลับ หน่อเมืองแสดงความไม่ชอบใจศุขวงศ์ตั้งแต่แรกเห็นเนื่องจากรูปลักษณ์และความคิดของศุขวงศ์ยืนยันชัดเจนว่าเขายอมหมอบราบคาบแก้วให้กับสยามและตะวันตก ทั้งนี้ หลังจากที่มารดาเสียชีวิต และเจ้าหลวงแสนอินทะ บิดาได้สมรสใหม่ เจ้าหน่อเมืองและเจ้าแม้นเมืองสองพี่น้องก็อยู่ในความดูแลของเจ้าอุปราชสิงห์คำผู้มีความรักชาติอย่างแรงกล้า ทำให้ทั้งหน่อเมืองและแม้นเมืองได้รับการปลูกฝังให้รักความอิสระ เชื่อมั่นในเสรีภาพ และมุ่งมั่นกระทำทุกวิถีทางเพื่อทำให้เชียงเงินเป็นรัฐอิสระให้ได้

เจ้าศุขวงศ์พยายามต่อรองขอให้แบร็กกิ้นพักอยู่กับเขาในเขตกำแพงล้อม ซึ่งเป็นอาณาบริเวณคุ้มหลวง เพื่อบังคับให้แบร็กกิ้นอยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลา แต่เจ้าหลวงแสนอินทะไม่ยอมเพราะผิดประเพณีที่ไม่อนุญาตให้ชาวตะวันตกล่วงล้ำเข้ามา จากการสนทนาทำให้ศุขวงศ์ทราบว่าเจ้าหลวงแสนอินทะเองก็มีความมุ่งมั่นในการแยกตัวเป็นอิสระและรังเกียจตะวันตกอย่างยิ่ง ทำให้ศุขวงศ์รู้สึกหนักใจมากเพราะเกรงว่าการได้อยู่อย่างอิสระจะทำให้แบร็กกิ้นมีโอกาสเดินทางสำรวจทรัพยากรป่าไม้ของเชียงเงินซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มากได้ตามใจชอบ

เจ้าศุขวงศ์มีโอกาสได้พบเจ้าแม้นเมืองตามลำพังที่ดงชมพูป่า แม้นเมืองแสดงความเชื่อของเธออย่างเปิดเผยว่าการยอมรับเอาขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติอื่นมาเป็นของตนเช่นที่ศุขวงศ์กระทำ เป็นการแสดงออกถึงความไร้ราก ไร้ความคิด และไร้ศักดิ์ศรี ทว่าคำบอกเล่าของศุขวงศ์เรื่องเมืองมัณฑ์ เมืองใหญ่ในแถบนั้นซึ่งเป็นเมืองอิสระและไม่เคยยอมก้มหัวให้สยามและตะวันตก กำลังจะกลายเป็นเมืองขึ้นของตะวันตกภายในเวลาไม่เกิน 2 ปี ก็ทำให้แม้นเมืองเริ่มไม่แน่ใจในความคิดของเธอ แต่แม้นเมืองก็พยายามเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาและโต้ตอบศุขวงศ์ว่าการล่มสลายอย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองของเชียงเงินเป็นสิ่งที่เธอภาคภูมิใจมากกว่าการยอมปรับเปลี่ยนตัวเอง ในท้ายที่สุด แม้นเมืองปฏิเสธการเรียกศุขวงศ์ว่า “เจ้าพี่” ตามศักดิ์ และแสดงออกให้เห็นว่าเธอไม่ยินดีรับไมตรีของเขา

ในงานศพของเจ้าอุปราชสิงห์คำ เจ้าแม้นเมืองแสดงความโศกเศร้าอย่างยิ่ง ทำให้เธอไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตาของเจ้าศุขวงศ์ตลอดเวลา เจ้ามิ่งหล้าซึ่งเคยชินกับการได้รับความสนใจและต้องเป็นที่หนึ่งเสมอสังเกตเห็นสายตาของศุขวงศ์ที่มองแม้นเมือง ทำให้มิ่งหล้าไม่พอใจและหาทางเอาชนะแม้นเมืองให้ได้ มิ่งหล้าได้ออกอุบายเพื่อให้ตนได้ใกล้ชิดกับศุขวงศ์และหาทางกำจัดแม้นเมืองไปให้พ้นทาง ด้วยเหตุนี้ มิ่งหล้าจึงเพียรทำให้แม้นเมืองเข้าใจผิดด้วยการพยายามพูดให้พี่สาวเข้าใจว่าศุขวงศ์สนใจปองรักตน นอกจากมิ่งหล้าจะสังเกตเห็นความสนใจที่ศุขวงศ์มีต่อแม้นเมืองแล้ว เจ้าหลวงแสนอินทะก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่สังเกตเห็นด้วยเช่นกัน ด้วยความเจ้าเล่ห์ทำให้แสนอินทะมองเห็นประโยชน์ที่เชียงเงินจะได้รับทันที เขาจึงออกปากชวนให้ศุขวงศ์พักที่เชียงเงินต่อไป

เจ้าศุขวงศ์พยายามหาโอกาสใกล้ชิดกับเจ้าแม้นเมือง เขาจึงตอบรับคำขอของเจ้ามิ่งหล้าที่ขอให้เขาเข้าไปแปลหนังสือภาพภาษาอังกฤษให้เธอ ทว่าศุขวงศ์ไม่เคยมีโอกาสได้พบแม้นเมืองในคุ้มหลวงเลยสักครั้ง จนวันหนึ่ง ทั้งสองได้พบกันที่ดงชมพูป่าโดยบังเอิญ ศุขวงศ์จึงมีโอกาสสัมผัสตัวตนที่อ่อนโยนของแม้นเมืองจากเหตุการณ์ที่เธอพยายามช่วยนำลูกนกที่ตกจากรังไปใส่คืนไว้ในรังของมัน ทั้งสองพูดคุยกันด้วยดีเป็นครั้งแรก ศุขวงศ์ออกปากว่าเขาจะมารอพบแม้นเมืองที่ดงชมพูป่านี้ทุกวันไม่ว่าเธอจะมาหรือไม่ก็ตาม เป็นที่น่าเสียดายว่ามิ่งหล้ายังคงเพียรพยายามสร้างความเข้าใจผิดให้แม้นเมืองเชื่อว่าศุขวงศ์หลงรักตน แม้นเมืองจึงพยายามขจัดความรู้สึกสนใจที่เธอเริ่มมีให้ศุขวงศ์ออกไปจากใจด้วยความรักน้องสาว
เจ้าหลวงแสนอินทะและเจ้าหน่อเมืองร่วมกันวางแผนการสามทางเพื่อการประกาศตัวเป็นรัฐอิสระของเชียงเงิน เริ่มด้วยการให้หน่อเมืองเดินทางไปรับสารตราตั้งตำแหน่งเจ้าอุปราชและดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยายอมเป็นข้าของสยามที่เชียงใหม่ ในขณะเดียวกันก็วางแผนส่งตัวมิ่งหล้าไปเป็นสนมกษัตริย์เมืองมัณฑ์ตามคำขอ และสุดท้าย จัดการให้แม้นเมืองแต่งงานกับศุขวงศ์เพื่อทำให้ญาติฝ่ายล้านนาตายใจว่าเชียงเงินไม่ได้เอาใจออกห่างหมู่ญาติ มิ่งหล้าอาละวาดอย่างหนัก เธอบีบบังคับให้แม้นเมืองรับอาสาเดินทางไปเป็นสนมกษัตริย์เมืองมัณฑ์แทนเธอ ด้วยความรักชาติ แม้นเมืองจึงยอมทำตามคำขอ ทว่าไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากเมืองมัณฑ์ระบุมาว่าต้องการตัวมิ่งหล้าซึ่งมีสถานะสูงกว่าแม้นเมือง เจ้านางข่ายคำสนับสนุนความคิดที่จะส่งมิ่งหล้าไปเมืองมัณฑ์เนื่องจากเกรงว่าแม้นเมืองจะกลายเป็นผู้มีความสำคัญมากกว่าลูกสาวของตน เจ้านางข่ายคำจึงบีบบังคับให้แม้นเมืองเกลี้ยกล่อมมิ่งหล้าให้ได้ มิ่งหล้าโกรธมากเพราะไม่เคยถูกขัดใจมาก่อนในชีวิต ประกอบกับเมื่อมิ่งหล้ารู้ว่าแม้นเมืองได้รับการวางตัวให้แต่งงานกับศุขวงศ์ ความโกรธจนขาดสติทำให้มิ่งหล้าประกาศตัดพี่ตัดน้องกับแม้นเมือง และแสดงกิริยาหยาบคายต่อพี่สาวแบบที่เธอไม่เคยกระทำมาก่อน มิ่งหล้าจงใจหยดยาพิษลงไปในใจแม้นเมืองด้วยการยืนยันว่าศุขวงศ์ยึดมั่นในความรักที่มีต่อเธอเท่านั้น อีกทั้งเขาต้องรังเกียจแม้นเมืองที่หน้าด้านใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อให้ได้ครอบครองเขา

เจ้ามิ่งหล้าลอบหนีออกไปจากคุ้มหลวงเพื่อไปขอให้เจ้าศุขวงศ์ช่วยพาเธอหนี เธอขู่จะฆ่าตัวตายหากศุขวงศ์ไม่ยอมช่วย ศุขวงศ์เห็นแก่ความเป็นญาติและยังเล็งเห็นว่าการที่เชียงเงินส่งมิ่งหล้าไปเป็นสนมกษัตริย์เมืองมัณฑ์นั้นเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ เนื่องจากอีกไม่นานเมืองมัณฑ์ต้องเสียเมืองแก่ตะวันตกแน่นอน มิ่งหล้าดีใจมากที่ศุขวงศ์ยอมรับปาก เธอพูดให้ศุขวงศ์หลงเชื่อว่าการแต่งงานกับกษัตริย์เมืองมัณฑ์เป็นงานอาสา และแท้จริงแล้วนั้นแม้นเมืองเป็นผู้รับอาสาไปเมืองมัณฑ์ มิ่งหล้าออกอุบายแต่งเรื่องว่าแม้นเมืองมีความปรารถนาแรงกล้าที่จะแต่งงานกับกษัตริย์เมืองมัณฑ์จนถึงกับกล้าขอสลับตัวกับเธอเพื่อตบตาเมืองมัณฑ์ ศุขวงศ์เสียใจมากที่แม้นเมืองไม่ได้มีใจให้เขาแม้แต่น้อย ในท้ายที่สุด มิ่งหล้าถึงกับออกปากยอมลดตัวลงเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของศุขวงศ์ ยอมอยู่ในสถานะใดก็ตามที่เขาพอใจและขอติดตามเขากลับไปด้วย ศุขวงศ์รับปากแต่ขอลองพูดให้เจ้าหลวงแสนอินทะเปลี่ยนใจไม่ส่งมิ่งหล้าไปเมืองมัณฑ์ก่อน

เจ้ามิ่งหล้าจงใจทำให้เจ้าแม้นเมืองเสียใจด้วยการเล่าแผนการที่เจ้าศุขวงศ์จะมาชิงตัวเธอไปจากขบวนเดินทางไปเมืองมัณฑ์ให้ฟัง ด้วยความต้องการอวดความสัมพันธ์แน่นแฟ้นของเธอกับศุขวงศ์ มิ่งหล้าเล่าแผนการทั้งหมดให้แม้นเมืองฟังและบีบบังคับให้พี่สาวสาบานว่าจะไม่แพร่งพรายไปสู่ผู้ใด มิฉะนั้นแม้นเมืองจะต้องมีชีวิตที่มีแต่ความทุกข์ ไม่มีคนรัก ไม่ได้รับการยอมรับ และตายอย่างน่าอนาถ คืนนั้น แม้นเมืองฝันถึงเจ้าอุปราชสิงห์คำ ทำให้แม้นเมืองระลึกถึงคำสอนของเขาได้ว่าชีวิตของเธอไม่มีความสำคัญเท่ากับการค้ำจุนเชียงเงินและหน้าที่ที่มีต่อบรรพบุรุษ ด้วยเหตุนี้ แม้นเมืองจึงตัดสินใจผิดคำสาบาน เธอเล่าแผนการทั้งหมดของมิ่งหล้าและศุขวงศ์ให้เจ้าหลวงแสนอินทะและเจ้าหน่อเมืองฟัง ทั้งหมดจึงช่วยกันคิดแผนการตลบหลังศุขวงศ์ แม้นเมืองรู้สึกเสียใจที่ผิดคำสาบานและเป็นต้นเหตุพรากความรักของมิ่งหล้ากับศุขวงศ์ แต่เธอพยายามกล้ำกลืนความโศกเศร้าด้วยการยึดมั่นในหน้าที่ที่มีต่อเชียงเงินเป็นสำคัญ

เจ้าศุขวงศ์พยายามเปลี่ยนใจเจ้าหลวงแสนอินทะด้วยการบอกให้ทราบว่าเมืองมัณฑ์กำลังจะตกเป็นเมืองขึ้นของตะวันตก แต่เขาไม่สามารถเปลี่ยนใจแสนอินทะได้ แบร็กกิ้นพยายามจะขอเข้าพบศุขวงศ์แต่ถูกกีดกัน หน่อเมืองจงใจสร้างเหตุการณ์ให้แบร็กกิ้นมีความผิดฐานล่วงล้ำเขตหวงห้าม ในวินาทีแห่งความเป็นความตายนั้นเอง ศุขวงศ์สามารถช่วยชีวิตของแบร็กกิ้นได้ทันเวลา ทำให้แบร็กกิ้นตกเป็นหนี้ชีวิตของศุขวงศ์เป็นครั้งที่สอง แบร็กกิ้นขอเดินทางไปเมืองมัณฑ์ก่อนที่จะกลับไปเชียงเงิน ศุขวงศ์ยินดีอนุญาตให้แบร็กกิ้นไปเพราะเขาจะได้ดำเนินการตามแผนชิงตัวมิ่งหล้าโดยไม่มีใครรู้เห็น ศุขวงศ์ให้อินทรเดินทางไปประกบแบร็กกิ้นอย่างใกล้ชิดโดยอ้างว่าเพื่ออำนวยความสะดวก

เจ้าศุขวงศ์พร้อมด้วยคนสนิทอีกสองคนเดินทางไปชิงตัวเจ้ามิ่งหล้า เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งแต่งกายตามที่นัดแนะกันไว้อยู่ในขบวน ศุขวงศ์จึงปักใจเชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นคือมิ่งหล้า เขาเข้าไปชิงตัวเธอออกมาตามแผน หลังจากนั้น ศุขวงศ์ได้ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นเดินทางล่วงหน้าต่อไปพร้อมกับคนของเขา ส่วนตัวเขาเองจะย้อนกลับไปเชียงเงินเพื่อกลบเกลื่อนแก้ข้อสงสัย และจะรีบออกเดินทางตามไปในวันรุ่งขึ้น

เมื่อกลับมาถึงคุ้มหลวง เจ้าศุขวงศ์ได้ทราบว่าเขาถูกซ้อนแผน เนื่องจากผู้หญิงที่เขาเข้าไปชิงตัวมาจากขบวนนั้นที่แท้แล้วคือเจ้าแม้นเมืองซึ่งกำลังเดินทางไปทำพิธีบวงสรวงไหว้กู่พญาดาบกลางป่า เจ้าหลวงแสนอินทะแสร้งทำเป็นว่าศุขวงศ์เป็นผู้มีบุญคุณที่เข้ามาช่วยแม้นเมืองไว้จากโจรป่า ตามประเพณีของเชียงเงิน การช่วยชีวิตใครไว้ ชีวิตของบุคคลนั้นย่อมตกเป็นสิทธิ์ของผู้ช่วยชีวิต แสนอินทะทำพิธียกแม้นเมืองให้ศุขวงศ์ เขารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยว่าในส่วนลึกศุขวงศ์มีความปรารถนาในตัวแม้นเมือง และรู้ดีว่านี่คือโอกาสที่จะได้แต่งงานกับเธออย่างถูกต้อง แต่วิธีการทั้งหมดนี้ กลับกลายเป็นแผนการที่ได้รับการวางไว้อย่างเจ้าเล่ห์แสนกล และแม้นเมืองเองก็เต็มใจยอมเป็นส่วนหนึ่งของแผนด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้เป้าหมายของบรรพบุรุษของเธอประสบความสำเร็จให้ได้

เขียนจันทร์ ภรรยาของ ครูวงพรหม ครูดาบที่เป็นคนสนิทของเจ้าสิงห์คำได้เข้ามายืนยันให้แม้นเมืองมั่นใจว่าทุกคนมีหน้าที่ต่อเชียงเงินในลักษณะต่างๆ กัน การแต่งงานของแม้นเมืองก็เช่นเดียวกับการแต่งงานของมิ่งหล้าซึ่งถูกส่งให้เดินทางอย่างลับๆ ไปเมืองมัณฑ์พร้อมกับ ฟองจันทร์ ลูกสาวของเธอ แม้นเมืองรู้สึกสบายใจขึ้น ในคืนแรกของการแต่งงาน คู่บ่าวสาวไม่ได้อยู่ร่วมกัน เนื่องจากศุขวงศ์รู้สึกสับสนใจว่าแม้นเมืองนั้นทำทุกอย่างตามหน้าที่โดยไม่ได้มีความรักในตัวของเขาแม้แต่น้อย ส่วนแม้นเมืองเองก็เข้าใจว่าศุขวงศ์นั้นรังเกียจเธอที่ยัดเยียดตนเองมาแต่งงานกับเขาด้วยเล่ห์เพทุบาย และทำลายความรักของเขากับมิ่งหล้าอย่างน่าละอาย

วันรุ่งขึ้น เจ้าศุขวงศ์และเจ้าแม้นเมืองเดินทางไปเชียงเงิน บัวผัน และ คำแก้ว ได้รับเลือกให้ติดตามไปรับใช้แม้นเมืองที่เชียงเงินด้วย เจ้าหน่อเมืองร่วมเดินทางไปกับขบวนโดยทำทีประหนึ่งว่าเดินทางไปรับตราตั้งจากผู้แทนกษัตริย์สยามที่เชียงใหม่ แต่แท้จริงแล้วนั้น จุดประสงค์การร่วมเดินทางของหน่อเมืองก็เพื่อควบคุมให้มั่นใจว่าศุขวงศ์จะไม่ลอบออกไปขัดขวางการเดินทางไปเมืองมัณฑ์ของมิ่งหล้า และเพื่อให้แน่ใจว่าแม้นเมืองได้เดินทางไปกับศุขวงศ์โดยสวัสดิภาพ ตลอดเวลาที่เดินทางหลายวันนั้น ศุขวงศ์ไม่เคยล่วงล้ำเข้ามาภายในห้องนอนเลย เพราะคำพูดของมิ่งหล้าที่ทำให้เขาเชื่อว่าแม้นเมืองเป็นผู้รับอาสายอมเป็นสนมของกษัตริย์เมืองมัณฑ์ อีกทั้งการที่แม้นเมืองไม่เคยมาพบเขาตามนัดที่ดงชมพูป่าสักครั้งเป็นหนามแหลมคอยทิ่มแทงเขา ส่วนแม้นเมืองก็เสียใจเพราะเข้าใจว่าศุขวงศ์โกรธแค้นชิงชังเธอ

ระหว่างการรอนแรม คืนหนึ่ง แม้นเมืองฝันร้ายว่าถูกเอาชีวิตเนื่องจากผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับมิ่งหล้า ศุขวงศ์เข้ามาปลอบแม้นเมืองให้คลายความหวาดกลัว เขาตัดสินใจว่าจะค่อยๆ ใช้ความรักของตนรินรดใจของแม้นเมือง ให้เธอค่อยๆ เปลี่ยนใจยอมรับเขาให้ได้ วินาทีนั้นเอง แม้นเมืองได้ประจักษ์แก่ใจตนเองว่าเธอหลงรักศุขวงศ์มาโดยตลอด ทำให้แม้นเมืองเกิดความละอายใจที่ตนเองเป็นอุปสรรคความรักของมิ่งหล้ากับศุขวงศ์ ทว่าหลังจากที่ศุขวงศ์เข้ามาปลอบด้วยความจริงใจ และออกปากว่าเขาจะนอนเป็นเพื่อนเธออยู่หน้าฉากกั้นในห้องนอน ทั้งสองต่างก็แอบรู้สึกปลอดโปร่งและอบอุ่น หลังจากคืนนั้น แม้นเมืองก็เฝ้ารอเวลากลางคืนที่จะได้นอนร่วมห้องกับศุขวงศ์อย่างใจจดจ่อทุกคืน แม้ว่าเธอจะแกล้งทำเป็นนอนหลับเมื่อเขาเข้ามาในห้องทุกคืนก็ตาม

ในคืนสุดท้ายก่อนที่จะถึงที่หมาย เจ้าศุขวงศ์มีโอกาสสนทนากับเจ้าหน่อเมืองตามลำพัง หน่อเมืองแสดงความคิดเห็นของตนอย่างเปิดเผยด้วยการชักชวนให้ศุขวงศ์ร่วมมือผนึกกำลังกันแยกตัวเป็นอิสระจากการปกครองของสยาม ศุขวงศ์พยายามชี้ให้หน่อเมืองเห็นว่าไม่มีประโยชน์เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันมีตะวันตกเป็นตัวแปรที่ทำให้รัฐเล็กๆ ในดินแดนล้านนาต้องพึ่งพิงสยาม เขาเห็นว่ากุโศลบายผ่อนปรนประนีประนอมที่สยามใช้กับตะวันตกเป็นผลดีกว่าการแข็งข้อ ต่างจากนโยบายของเมืองมัณฑ์ซึ่งกำลังจะกลายเป็นเมืองขึ้นของตะวันตกในไม่ช้า หน่อเมืองไม่พอใจมากเพราะเขาเชื่อว่าเชียงเงินเป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ เกินกว่าที่ตะวันตกจะสนใจ หรือหากเกิดอะไรขึ้น หน่อเมืองก็เชื่อว่าเขามีความสามารถพอที่จะต่อสู้ป้องกันเชียงเงินได้ หลังจากความขัดแย้งปะทุถึงขีดสุด หน่อเมืองก็เปิดเผยให้ศุขวงศ์ทราบว่าการร่วมเดินทางมากับขบวนของเขานั้น เพราะเขามีหน้าที่ควบคุมไม่ให้ศุขวงศ์ขัดขวางการเดินทางไปเมืองมัณฑ์ของมิ่งหล้า ส่วนแม้นเมืองก็เป็นฝ่ายรับหน้าที่เดียวกันในเวลากลางคืน ศุขวงศ์เจ็บปวดมากเพราะเขาเข้าใจผิดว่าการกรีดร้องขวัญเสียและการโอนอ่อนผ่อนตามของแม้นเมืองที่ผ่านมานั้นเป็นเพียงการเสแสร้งแกล้งทำเพื่อหน้าที่ๆ มีต่อเชียงเงินของเธอ

คืนนั้นเอง เมื่อศุขวงศ์เข้าไปในห้องนอน เขาก็พบว่าแม้นเมืองกำลังนั่งรอเขาอยู่ เธอขอร้องให้เขาเก็บเรื่องที่เชียงเงินส่งมิ่งหล้าไปเป็นบรรณาการแก่เมืองมัณฑ์ไว้เป็นความลับ ศุขวงศ์ยิ่งโกรธเพราะคำขอร้องของแม้นเมืองเป็นการตอกย้ำว่าเธอทำทุกอย่างตามหน้าที่ ศุขวงศ์เรียกร้องให้แม้นเมืองปฏิบัติหน้าที่ของเธอให้เสร็จสิ้น ทั้งสองตกเป็นของกันและกันในคืนนั้นเอง แท้ที่จริงแล้วนั้น ทั้งสองต่างก็สัมผัสได้ถึงความสุขลึกซึ้ง เช้ามืดวันรุ่งขึ้น ศุขวงศ์พาแม้นเมืองขึ้นไปบนภูผาเมือง บนหน้าผาหินที่แขวนลอยเพื่อเฝ้าดูบ้านเกิดของเขาจากแสงแรกแห่งวันด้วยกัน แม้นเมืองรู้สึกประทับใจมาก ศุขวงศ์ตัดสินใจยื่นข้อเสนอให้แม้นเมืองทำดีกับเขาเพื่อให้เจ้าแม่เรือนคำ ย่าของเขาสบายใจ แลกกับการที่เขาจะไม่บอกใครเรื่องที่เชียงเงินส่งบรรณาการไปเมืองมัณฑ์ แม้นเมืองเห็นว่าข้อเสนอนี้เป็นช่องทางที่ทำให้เธอสามารถหลีกหนีความจริงที่เธอเข้าใจว่าศุขวงศ์มีแต่มิ่งหล้าในใจ ทำให้เธอสามารถแอบตักตวงความสุขจากความรักได้ แม้นเมืองจึงรับปาก แบร็กกิ้นและอินทรเดินทางมาสมทบ ทั้งสองแสดงความยินดีกับศุขวงศ์ที่ได้แต่งงานกับแม้นเมือง

เมื่อเดินทางไปถึงคุ้มเจ้าราชภาติยะ ที่อยู่ตามตำแหน่งของศุขวงศ์ แม้นเมืองก็นำเมล็ดชมพูป่าที่เธอนำติดตัวมาจากเชียงเงินออกมา เธอขอร้องให้ศุขวงศ์นำเมล็ดไปเพาะเพราะเธอผูกพันกับต้นไม้ชนิดนี้ตั้งแต่เด็ก ศุขวงศ์เองก็เห็นว่าต้นชมพูป่ามีความหมายต่อความรักของเขาเช่นกัน เขาจึงให้คนตัดต้นไม้สองข้างทางเดินขึ้นภูผาเมืองเพื่อเตรียมไว้ปลูกต้นชมพูป่า นอกจากนี้ ศุขวงศ์ยังได้สั่งย้ายเรือนไม้ซึ่งเป็นเรือนพักคนเดินทางที่เขาและแม้นเมืองได้มีความสัมพันธ์ทางกายกันเป็นครั้งแรก ให้เอามาปลูกไว้ในสวนใกล้คุ้มของเขา จากนั้น เจ้าแม่เรือนคำได้เข้ามาดูตัวแม้นเมืองถึงในห้อง ทั้งสองรู้สึกถูกชะตากันอย่างยิ่ง ทำให้ศุขวงศ์มีความสุขมาก

เจ้าแม้นเมืองได้โอกาสพูดคุยกับแบร็กกิ้น ทำให้เธอเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อชาวตะวันตกเมื่อเธอตระหนักว่าแบร็กกิ้นก็เป็นมนุษย์ที่มีความรู้สึกมีเลือดเนื้อไม่ต่างจากมนุษย์คนอื่น แม้เขาจะมีรูปลักษณ์ที่แตกต่าง แบร็กกิ้นเสนอตัวถ่ายรูปเดี่ยวให้แม้นเมืองไว้เป็นที่ระลึกก่อนที่เขาจะจากไปทำงานที่สิงคโปร์

เจ้ามิ่งหล้ากลายเป็นสนมของกษัตริย์เมืองมัณฑ์ ในตอนแรก เธอไม่ทราบว่าว่า เจ้านางปัทมสุดา ชายาเอกของกษัตริย์เมืองมัณฑ์เป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในราชสำนักเพราะเป็นราชธิดาของกษัตริย์องค์ก่อน ในขณะที่กษัตริย์เมืองมัณฑ์เดิมเป็นเพียงเจ้าชายปลายแถวที่ไร้อำนาจ มิ่งหล้าสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานภาพใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เธอพยายามเลื่อนฐานะของตนให้เป็นชายารองด้วยการทำตัวให้กษัตริย์โปรดปราน มิ่งหล้าต้องอดทนกับความเหี้ยมโหด อิจฉาริษยาของเจ้านางปัทมสุดาซึ่งออกกฎให้ผู้หญิงทุกคนที่เข้าถวายตัวกับกษัตริย์ต้องผ่านกระบวนการทำความสะอาดภายในร่างกาย ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการกำจัดการปฏิสนธิที่อาจเกิดขึ้นได้

เวลาผ่านไปด้วยความสุข ในที่สุด เจ้าแม้นเมืองก็ตั้งครรภ์ เมื่อเจ้าศุขวงศ์ทราบข่าว เขายินดีมาก ทั้งสองเฝ้ารอคอยการถือกำเนิดของทารกน้อย ในคืนที่ทารกในครรภ์ดิ้นเป็นครั้งแรก แม้นเมืองฝันว่าเธอกำลังถูกตามล่าเอาชีวิตตามคำสาบาน แต่เธอขอต่อรองประวิงเวลาไว้ก่อน

เจ้านางปัทมสุดาเดินทางไปถือศีลที่วัดตามคำทำนายว่าจะสามารถทำให้เมืองมัณฑ์พ้นจากเงื้อมมือของอังกฤษได้ มิ่งหล้าได้โอกาสทำตามแผน เธอใช้ทองที่นำติดตัวมาจากเชียงเงินติดสินบน นางมิ่น ข้าหลวงคนหนึ่งของเจ้านางปัทมสุดาให้ช่วยเหลือเธอด้วยการร่วมกันโกหกว่าเธอป่วยจนไม่สามารถเข้าถวายตัวต่อกษัตริย์ได้ แผนของมิ่งหล้าถูกวางขึ้นเพื่อทำให้เธอมั่นใจว่าทารกในครรภ์ของเธอปลอดภัย นางมิ่นเห็นแก่อนาคตที่มิ่งหล้าเอามาล่อจึงรับปาก แต่โชคร้ายที่แผนการนี้ถูกเจ้านางปัทมสุดาจับได้ เธอสั่งให้ประหารชีวิตนางมิ่นต่อหน้ามิ่งหล้าอย่างเหี้ยมโหด หลังจากนั้น เจ้านางปัทมสุดาให้สั่งทำแท้งมิ่งหล้าและนำไปขังเดี่ยวในเรือนมิดมิดและอับทึบท้ายวัง และออกข่าวว่านางมิ่นปล้นทองของมิ่งหล้าจึงถูกจับประหารชีวิต ส่วนตัวมิ่งหล้าเองก็ได้รับบาดเจ็บจึงต้องแยกตัวไปให้หมอหลวงรักษา บรรดานางกำนัลที่ติดตามมิ่งหล้ามาจากเชียงเงินไม่มีใครทราบความจริง ทุกคนต่างพากันหวาดกลัวเพราะมีสามคนที่พยายามส่งข่าวกลับไปเชียงเงินถูกสั่งฆ่าปิดปาก ฟองจันทร์เป็นคนเดียวที่แอบเล็ดลอดเข้าไปพบมิ่งหล้าในสภาพบอบช้ำเจียนตายได้เป็นผลสำเร็จ ฟองจันทร์ตัดสินใจช่วยเหลือมิ่งหล้าจึงคิดจะแอบหนีไปขอความช่วยเหลือจากสยาม

เจ้าศุขวงศ์เดินทางไปเชียงใหม่เพื่อจัดการไต่สวนการวิวาทระหว่างคนงานที่ปางไม้ของเขากับคนงานกะเหรี่ยงที่จ้างมาทำงาน ด้วยเหตุที่พวกกะเหรี่ยงเป็นคนในบังคับของอังกฤษ ศุขวงศ์จึงเห็นเป็นโอกาสดีที่จะใช้การเดินทางไปไกล่เกลี่ยการวิวาทที่เชียงใหม่เป็นเครื่องแสดงออกให้สยามเห็นว่าอาณาจักรของเขาจงรักภักดีต่อสยาม เมื่อมาถึงเชียงใหม่ ศุขวงศ์ได้พบกับ เจ้าคุณศรีวิศัลย์ ข้าราชการสูงวัยชาวสยามที่เขาคุ้นเคย เจ้าคุณศรีวิศัลย์ตกใจที่พบศุขวงศ์เพราะเขาเพิ่งส่งจดหมายลับไปถึงศุขวงศ์เพื่อแจ้งข่าวการสะสมอาวุธของเชียงเงินที่วัดสบบุญ วัดชายป่าเพื่อก่อการกบฏ เจ้าคุณศรีวิศัลย์วางแผนจะส่งคนไปที่ปางไม้ของศุขวงศ์เพื่อลอบเข้าไปขนย้ายถ่ายเทอาวุธของเชียงเงิน เป็นการตัดแขนตัดขาให้เชียงเงินไม่สามารถทำการใหญ่ได้ นอกจากนี้ สยามยังได้วางแผนส่ง เจ้าผาคำ และ บุญสูง ญาติชาวล้านนาของศุขวงศ์ขึ้นไปที่เชียงเงินเพื่อหาโอกาสที่เหมาะสมให้เจ้าผาคำแสดงตัวเป็นเจ้าอุปราชที่ได้รับการแต่งตั้งจากสยาม มีศักดิ์เทียบเท่าเจ้าหน่อเมือง และให้บุญสูงแสดงตนเป็นข้าหลวงที่ได้รับการแต่งตั้งจากบางกอกด้วย ในท้ายที่สุด เจ้าคุณศรีวิศัลย์แสดงความมั่นใจว่าสยามไว้ใจศุขวงศ์มากแม้ว่าเขาจะแต่งงานกับแม้นเมือง ธิดาเจ้าหลวงเชียงเงินก็ตาม เจ้าคุณศรีวิศัลย์ยังชมเชยศุขวงศ์ที่ได้เลือกวิธีชาญฉลาดในการปล่อยข่าวให้สยามทราบเรื่องที่เชียงเงินส่งมิ่งหล้าไปเมืองมัณฑ์ แทนที่จะรายงานตรงๆ เจ้าคุณศรีวิศัลย์ยังได้คาดการว่าเมืองมัณฑ์น่าจะตกเป็นของอังกฤษในเวลาไม่เกินสองเดือน และเมื่อถึงเวลานั้น เชียงเงินน่าจะฉวยโอกาสประกาศตนเป็นรัฐอิสระ ส่วนอังกฤษน่าจะหนุนหลังเชียงเงินให้แยกตัวจากสยามเพื่อจะฉวยโอกาสกลืนเชียงเงินได้โดยง่ายในภายหลัง ศุขวงศ์จึงต้องรีบออกเดินทางกลับไปเชียงเงินเพื่อดักเอาจดหมายลับเพราะเกรงว่าจะตกไปอยู่ในมือศัตรู

ฟองจันทร์ลอบหนีออกจากคุ้มหลวงไปขอความช่วยเหลือจาก มิสซิสมัวรีน ภรรยากงสุลอังกฤษซึ่งตอบแทนบุญคุณที่ฟองจันทร์เคยช่วยเหลือเธอไว้ด้วยการส่งให้ฟองจันทร์เดินทางออกไปกับขบวนพ่อค้า ขณะที่กำลังออกจากเมืองมัณฑ์ ฟองจันทร์ได้สวนทางกับแบร็กกิ้นที่ปลอมแปลงตัวลอบเข้าไปในเมือง ทำให้เธอรู้สึกแปลกใจมาก ในระหว่างการเดินทาง ฟองจันทร์ยังได้พบกับศุขวงศ์ซึ่งกำลังรีบร้อนเดินทางกลับบ้านโดยบังเอิญ ทว่าฟองจันทร์ไม่อาจแสดงตัวให้ศุขวงศ์รู้ได้

เจ้าศุขวงศ์สามารถรีบเร่งเดินทางมาเอาจดหมายลับได้กลางทาง เขาจึงกลับไปถึงบ้านก่อนกำหนด ศุขวงศ์รีบร้อนไปพบเแม้นเมืองด้วยความคิดถึง ทว่าเขากลับพบว่าหน่อเมืองลักลอบเข้ามาพบแม้นเมืองในคุ้ม ศุขวงศ์แอบฟังทั้งสองคุยกันจึงได้ทราบว่าหน่อเมืองตั้งใจมารับน้องสาวกลับบ้านทันทีที่เชียงเงินประกาศตัวเป็นรัฐอิสระ หน่อเมืองแสดงความมั่นใจว่าเขารู้ใจแม้นเมืองที่จำยอมอยู่กับศุขวงศ์เพราะหน้าที่ เแม้นเมืองอึดอัดเพราะจิตใจของเธอได้เปลี่ยนไปแล้ว แต่เธอไม่สามารถบอกพี่ชายได้ ศุขวงศ์ผลุนผลันจากไปเมื่อได้ยินเแม้นเมืองตอบรับที่จะกลับไปเชียงเงิน เป็นที่น่าเสียดายว่าความใจร้อนทำให้ศุขวงศ์ไม่ทันฟังคำพูดของแม้นเมืองจนจบว่าเธอเชื่อว่าเมื่อเชียงเงินเป็นอิสระ คงไม่มีใครที่นี่ต้องการตัวเธออีกต่อไป ก่อนจากกัน หน่อเมืองยังแจ้งข่าวแก่น้องสาวว่ามิ่งหล้าส่งข่าวมาจากเมืองมัณฑ์ว่าสุขสบายดี

คืนนั้น เจ้าศุขวงศ์กลับขึ้นเรือน เจ้าแม้นเมืองแสดงความดีใจ ทว่ายังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้สนทนากัน คำแก้วก็มารายงานว่าฟองจันทร์มาขอเข้าพบ ฟองจันทร์เข้ามาเล่าเรื่องเจ้ามิ่งหล้าและขอให้ศุขวงศ์ออกไปช่วยเพราะทุกคนรู้ดีว่าด้วยเกมการเมือง เชียงเงินย่อมไม่อาจออกหน้าช่วยเหลือมิ่งหล้าได้ ศุขวงศ์ถามแม้นเมืองว่าเธอต้องการให้เขาไปช่วยมิ่งหล้าหรือไม่ แม้นเมืองต้องต่อสู้กับใจของเธออย่างหนัก แต่ในที่สุด เธอก็ขอร้องให้ศุขวงศ์ไปช่วยมิ่งหล้าด้วยเหตุผลที่ว่าแท้จริงแล้วแม้นเมืองเองต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายเดินทางไปเป็นสนมกษัตริย์เมืองมัณฑ์ ไม่ใช่มิ่งหล้า เหตุผลของแม้นเมืองทำให้ศุขวงศ์นิ่งงันราวถูกสาป การมาถึงของฟองจันทร์และชะตากรรมของมิ่งหล้าทำให้ความสัมพันธ์ของศุขวงศ์และแม้นเมืองไม่มีวันประสานเป็นเช่นเดิมได้อีกเลย

นับแต่นั้น เจ้าศุขวงศ์หักโหมทำงานอยู่ในห้องส่วนตัว เขาส่งให้อินทรปลอมแปลงตัวคุมคนไปลักลอบขนย้ายอาวุธที่เชียงเงินแอบสะสมไว้ ส่วนตัวศุขวงศ์เองลอบเดินทางเข้าไปเมืองมัณฑ์ เขาเข้าไปขออาศัยอยู่กับแบร็กกิ้นที่เขตพิเศษของชาวต่างชาติในเมืองมัณฑ์ซึ่งปลอดภัยจากการรู้เห็นของชาวเมือง ศุขวงศ์ลอบเข้าไปช่วยมิ่งหล้าออกมาจากที่คุมขังและขอให้แบร็กกิ้นปล่อยซุงลงแม่น้ำทันที่ที่ขบวนของเขาข้ามแม่น้ำพ้น เพื่อขัดขวางการติดตามของศัตรู แบร็กกิ้นทำตามคำขอเพื่อตอบแทนที่ศุขวงศ์เคยช่วยชีวิตเขาไว้โดยไม่เอะใจว่าศุขวงศ์ช่วยเหลือใครออกมา แบร็กกิ้นยังได้มอบภาพถ่ายของแม้นเมืองให้ศุขวงศ์ หลังจากที่ศุขวงศ์จากไปอย่างปลอดภัยแล้ว แบร็กกิ้นก็ได้ทราบจากหมอฝรั่งที่ตรวจดูอาการของมิ่งหล้าว่า “ญาติ” ของเจ้าศุขวงศ์นั้นเป็นผู้หญิง แบร็กกิ้นจึงเดาเรื่องได้โดยตลอด เขาได้แต่นึกโกรธปนขำที่ตนกลายเป็นผู้หยิบยื่นดินแดนเชียงเงินที่กำลังจะเป็นของอังกฤษให้ฝ่ายสยามไปอย่างง่ายดายด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ในเวลาเดียวกัน เจ้าแม้นเมืองคลอดลูกชาย เจ้าแม่เรือนคำตั้งชื่อให้ว่า เจ้าไศลรัตน์ แม้นเมืองขอเรียกลูกชายว่า ภูแก้ว เพื่อเป็นที่ระลึกถึงภูผาแก้ว สถานที่ในความฝันที่เธอเคยใช้หลบภัยจากความตายที่ไล่ล่าเอาชีวิตเพราะผิดคำสาบาน

เจ้าแม้นเมืองไปเยี่ยมเจ้ามิ่งหล้าในเรือนไม้ในสวน แม้นเมืองแอบเสียใจที่ศุขวงศ์ให้คนพามิ่งหล้าไปพักที่นั่นเพราะเป็นสถานที่แห่งความหลังของเธอกับศุขวงศ์ สภาพที่บอบช้ำสาหัสของมิ่งหล้าทำให้แม้นเมืองเสียใจมาก แม้นเมืองได้คิดขึ้นมาเป็นครั้งแรกว่าทั้งเธอและมิ่งหล้าเปรียบเสมือน “ราก” เล็กๆ ที่คอยค้ำจุนไม้ใหญ่อย่างเชียงเงินให้ยืนหยัดอยู่ได้ ทว่าความทุกข์ทรมานเจ็บปวดของเธอทั้งสองเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปริปากบอกผู้ใดได้ คืนนั้น ศุขวงศ์ลอบขึ้นเรือนมาเยี่ยมแม้นเมืองและลูกชายซึ่งกำลังนอนหลับอยู่

เจ้าแม่เรือนคำสงสัยว่าศุขวงศ์แอบมีภรรยาใหม่ซุกซ่อนไว้ที่เรือนไม้ในสวน ศุขวงศ์จึงเล่าความจริงให้เจ้าย่าฟังว่าเขาไม่อาจยอมให้เชียงเงินก่อการกบฏต่อสยามได้ เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ตะวันตกฉวยโอกาสเข้ายึดครองแผ่นดินล้านนาทั้งหมด ศุขวงศ์มั่นใจว่าทันทีที่หน่อเมืองเดินทางมาประกาศอิสรภาพของเชียงเงินที่เชียงใหม่ เจ้าหลวงแสนอินทะต้องสั่งให้ชาวเชียงเงินจับอาวุธขึ้นต่อต้านสยามทันที ดังนั้น ศุขวงศ์จึงต้องลักตัวมิ่งหล้ามาจากเมืองมัณฑ์เพื่อทำลายข้ออ้างว่าเชียงเงินเป็นเมืองที่เป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เป็นการปิดโอกาสให้อังกฤษมีข้ออ้างหนุนเชียงเงินให้เป็นอิสระ ศุขวงศ์ยังบอกว่าการถูกทารุณกรรมของมิ่งหล้าเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ผลักดันให้เขาต้องตัดสินใจลงมือ ในท้ายที่สุด เจ้าแม่เรือนคำเตือนให้ศุขวงศ์ปรับความเข้าใจกับแม้นเมืองเนื่องจากทั้งครอบครัวยังไม่เคยได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูกเลย แม้นเมืองขึ้นเรือนมาทันได้ยินศุขวงศ์ตอบเจ้าย่าว่าให้เธออยู่ที่คุ้มของเจ้าย่าไปก่อนดีแล้ว ด้วยความเสียใจ แม้นเมืองจึงรีบร้อนลงจากเรือนไป ไม่ทันได้ยินศุขวงศ์บอกเจ้าย่าว่าหากเสร็จเรื่องแล้วเขาจะปรับความเข้าใจกับเธอ

เจ้าแม้นเมืองไปเยี่ยมเจ้ามิ่งหล้า วูบหนึ่งแม้นเมืองคิดว่าหนทางของเธอจะสะดวกง่ายดายหากเธอสามารถกำจัดมิ่งหล้าให้พ้นทาง ทว่าสภาพที่บาดเจ็บสาหัสของมิ่งหล้าทำให้แม้นเมืองได้คิดว่าเป็นความรับผิดชอบของเธอเองที่ยื้อแย่งศุขวงศ์ไปจากน้องสาว ฟองจันทร์เข้ามาตอกย้ำความเจ็บปวดของแม้นเมืองอย่างไม่ตั้งใจด้วยการบอกว่าศุขวงศ์มาเยี่ยมมิ่งหล้าก่อนออกเดินทางไปราชการที่เชียงใหม่
ที่เชียงใหม่ เจ้าคุณศรีวิศัลย์ส่งข่าวให้เจ้าศุขวงศ์ทราบว่าเหตุการณ์ที่เชียงเงินเรียบร้อยดี ทันทีที่เจ้าหน่อเมืองเดินทางออกจากเมืองมาเชียงใหม่ เจ้าผาคำก็แสดงตัวเป็นเจ้าอุปราช ส่วนบุญสูงก็แสดงตัวเป็นข้าหลวงแห่งเชียงเงิน ตัวแทนสยาม เจ้าหลวงแสนอินทะยอมจำนนเมื่อพบว่าตนขาดกำลังอาวุธ ดังนั้น เจ้าหลวงแสนอินทะจึงได้อยู่ในตำแหน่งต่อไป ไม่ได้ถูกจับเป็นกบฏ

เจ้าคุณศรีวิศัลย์ยืนยันว่าการที่บุญสูงส่งจดหมายรับรองฐานะที่มีตราของเชียงเงินประทับอยู่มาให้เป็นหลักฐาน ประกอบกับการที่อังกฤษหาตัวเจ้ามิ่งหล้าไม่พบ ทำให้สยามกลายเป็นต่ออังกฤษมาก ศุขวงศ์รู้สึกหวาดหวั่นว่าการชิงตัวมิ่งหล้าของเขาโดยไม่บอกให้ใครทราบนั้นแม้จะเป็นประโยชน์ต่อสยาม แต่ก็อาจกลายเป็นต้นเหตุแห่งข้อพิพาทใหญ่ในอนาคตได้

ในการเผชิญหน้ากันของฝ่ายสยาม อังกฤษ และเชียงเงิน เจ้าหน่อเมืองประกาศว่าเชียงเงินเป็นรัฐอิสระไม่เคยขึ้นต่อสยาม เขาอ้างเหตุผลที่เชียงเงินส่งเจ้ามิ่งหล้าไปเป็นสนมของกษัตริย์เมืองมัณฑ์ หน่อเมืองคาดคั้นว่าแบร็กกิ้นซึ่งเคยเดินทางไปเมืองมัณฑ์ต้องรู้ความจริงเรื่องนี้ดี ทว่าแบร็กกิ้นปฏิเสธไม่รู้เห็น หน่อเมืองถูกควบคุมตัวออกไปแต่เขาสามารถฆ่าผู้คุมและหลบหนีไปได้ ฝ่ายอังกฤษหลุดปากว่าจะตามหาเจ้ามิ่งหล้าเป็นเวลา 10 วัน หากพ้นกำหนดก็ถือว่าเชียงเงินเป็นของสยาม ศุขวงศ์ขอบคุณแบร็กกิ้นที่ช่วยเหลือตน ทั้งสองต่างรู้กันดีแก่ใจว่าการช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นการซื้อใจเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจที่จะร่วมมือกันในภายหน้า ศุขวงศ์รู้ดีว่าฝ่ายสยามรู้ว่าเขาเป็นผู้ลอบชิงตัวมิ่งหล้าออกมาจากเมืองมัณฑ์ แต่สยามเลือกที่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวเพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกับอังกฤษ
เจ้าหน่อเมืองไปสมทบกับบริวารและรีบเร่งเดินทางกลับเชียงเงิน แต่ในระหว่างทางทั้งหมดได้ทราบว่าเชียงเงินยอมจำนนต่อสยามเพราะเจ้าศุขวงศ์ส่งคนมาลอบขโมยอาวุธที่เชียงเงินแอบสะสมไว้

หน่อเมืองจึงเปลี่ยนใจเดินทางไปรับแม้นเมืองกลับเชียงเงิน และต้องการล้างแค้นด้วยการสังหารศุขวงศ์ด้วยตัวของเขาเอง หน่อเมืองลอบเข้าไปในคุ้ม เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม้นเมืองฟัง ในระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันนั้นเอง ฟองจันทร์ได้เข้ามา หน่อเมืองสงสัยว่าเพราะเหตุใดฟองจันทร์จึงมาอยู่ที่นี่ ฟองจันทร์ไม่ทราบความขัดแย้งจึงบอกความจริงว่าศุขวงศ์เป็นผู้เข้าไปช่วยเหลือมิ่งหล้าออกมาจากเมืองมัณฑ์ ทำให้หน่อเมืองยิ่งโกรธแค้นศุขวงศ์ที่เป็นต้นเหตุความปราชัยของเชียงเงินในทุกทาง หน่อเมืองกดดันให้แม้นเมืองทิ้งลูกชายไว้เพราะรังเกียจเด็กที่มีสายเลือดของศุขวงศ์

ในที่สุด แม้นเมืองก็รับปากว่าเธอจะไปสมทบกับคนของหน่อเมืองที่ต้นตะเคียนคู่นอกเมืองในคืนนี้ และจะจัดการให้ศุขวงศ์ออกไปพบหน่อเมืองบนภูผาเมืองเพียงคนเดียว โดยจะอ้างว่าหน่อเมืองจับลูกชายไว้เป็นตัวประกัน หน่อเมืองพอใจในแผนการนี้จึงยอมให้สัญญากับแม้นเมืองว่าหากเขาสามารถเอาชีวิตของศุขวงศ์ได้แล้ว เขาจะไม่ย้อนกลับมาเกี่ยวข้องจองเวรกับผู้ใดอีก

เจ้าแม้นเมืองเข้าไปเขียนจดหมายปิดผนึกถึงพี่ชาย เธอสั่งให้ฟองจันทร์นำไปให้คนของหน่อเมืองที่ต้นตะเคียนคู่ตามเวลานัดและให้รีบกลับมาที่คุ้ม วันนั้น แม้นเมืองทำทุกอย่างตามปกติด้วยความสงบ เธอใช้เวลาทั้งวันกับเจ้าย่าเรือนคำ และออกปากฝากฝังเจ้าภูแก้ว ลูกชายไว้กับ ศรีมาย แม่นมซึ่งมีลูกชายวัยไล่เลี่ยกันกับภูแก้วแต่บุญน้อยเสียชีวิตไปก่อน คืนนั้น แม้นเมืองอุ้มลูกชายเข้าไปหามิ่งหล้าและเล่าแผนการทั้งหมดของเธอให้ฟัง แม้นเมืองจับมิ่งหล้ามัดอุดปากไว้เพราะเกรงว่ามิ่งหล้าจะขัดขวางแผนการของเธอ มิ่งหล้าตกใจและละอายใจในความผิดที่เธอก่อไว้มากแต่มิ่งหล้าไม่สามารถบอกพี่สาวได้ว่าแม้นเมืองกำลังเข้าใจศุขวงศ์ผิด แม้นเมืองฝากฝังลูกชายและยกให้เขาเป็นลูกของมิ่งหล้า จากนั้น เธอเปลี่ยนสวมใส่ชุดเดินป่าของศุขวงศ์ และยังใช้ดาบตัดผมจนสั้นคล้ายคลึงกับศุขวงศ์อีกด้วย
เจ้าศุขวงศ์ออกเดินทางไปเชียงเงินเพื่อตามล่าตัวเจ้าหน่อเมือง แต่แล้วศุขวงศ์ก็ได้คิดจึงรีบเปลี่ยนใจกะทันหัน เขารีบเร่งเดินทางกลับบ้านเพราะระลึกได้ว่าหน่อเมืองอาจมารับแม้นเมืองกลับไปด้วย

ศุขวงศ์รีบร้อนกลับมาที่คุ้ม เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้เจ้าแม่เรือนคำฟัง ทั้งหมดรีบค้นหาแม้นเมือง ศุขวงศ์เอะใจจึงรีบไปที่เรือนไม้ในสวน เขาได้ทราบแผนการทั้งหมดจากมิ่งหล้าที่พยายามกระเสือกกระสนให้พ้นจากพันธนาการจนได้รับบาดเจ็บสาหัสตกเลือดอีกครั้ง ศุขวงศ์รีบร้อนขึ้นไปบนภูผาเมืองทันที

เหตุการณ์ทั้งหมดย้อนกลับมาตอนต้นเรื่อง บนภูผาเมือง เจ้าหน่อเมืองรอคอยให้เจ้าศุขวงศ์มาพบเขาตามนัดเพื่อชำระหนี้แค้น เมื่อมีผู้ปรากฏกายขึ้นตามนัด แม้หน่อเมืองจะสังเกตเห็นว่าคนผู้นั้นมีร่างแบบบางกว่าที่เขาคิด ทว่าเขาก็ไม่ทันเฉลียวใจ จากการปะทะกัน หน่อเมืองได้พบว่าคู่ต่อสู้ของเขามีฝีมือและพละกำลังอ่อนกว่าเขามาก ด้วยแรงแค้น หน่อเมืองฆ่าคู่ต่อสู้ตายและยังได้เข้าไปกระหน่ำแทงซ้ำจนแน่ใจว่าศัตรูของเขาตายสนิท หลังจากนั้น หน่อเมืองได้ไปที่ต้นตะเคียนคู่เพื่อสมทบกับแม้นเมืองตามนัด แต่เขากลับไม่พบน้องสาว หน่อเมืองรีบแกะจดหมายที่ฟองจันทร์มาฝากไว้ให้ออกอ่าน เขาจึงได้ทราบความในใจของแม้นเมืองทั้งหมด แม้นเมืองจงใจไถ่โทษทัณฑ์ที่เธอมีใจให้ศุขวงศ์ด้วยความตายของตน หน่อเมืองเสียใจมาก ส่วนศุขวงศ์นั้น เมื่อขึ้นมาบนยอดภูผาเมืองก็ไม่ทันการเสียแล้ว เขาหมดสติไปด้วยความโศกเศร้า อินทรเป็นธุระจัดการงานศพเแม้นเมืองอย่างเร่งรีบเพื่อทำลายหลักฐานการมีตัวตนของเจ้าแม้นเมืองตัวจริง เพื่อให้เจ้ามิ่งหล้าสวมรอยเป็นเจ้าแม้นเมือง หลบหนีการตามล่าของอังกฤษ

ในปี พ.ศ.2454 เจ้าไศลรัตน์ หรือ เจ้าแก้ว ซึ่งโตเป็นหนุ่มเดินขึ้นมาบนภูผาเมืองกับเจ้าศุขวงศ์ในวัยกลางคน โดยมี เด็กหญิงคำใส ลูกสาววัยแปดขวบของคำแก้วตามขึ้นมาเที่ยวด้วย เจ้าไศลรัตน์สำเร็จการศึกษาจากอังกฤษ โดยระหว่างที่อยู่อังกฤษ เขาได้พำนักอยู่กับลุงแบร็กกิ้น เจ้าไศลรัตน์ตั้งใจกลับมาช่วยเจ้าพ่อของเขาทำกิจการป่าไม้ที่บ้านเกิด เมื่อเดินขึ้นมาถึงหน้าเจดีย์สีขาวกลางดงชมพูป่า เจ้าศุขวงศ์ก็ตัดสินใจเล่าเรื่องราวในอดีตทั้งหมดให้ลูกชายฟัง เจ้าไศลรัตน์ประทับใจกับเรื่องราวของพ่อแม่มาก ในอดีตเขาเข้าใจมาโดยตลอดว่าเจ้าแม้นเมือง เจ้าแม่ของเขาเป็นผู้หญิงที่ป่วยกระเสาะกระแสะและเสียชีวิตก่อนเขาเดินทางไปเรียนต่อที่อังกฤษ ศุขวงศ์เล่าให้ไศลรัตน์ฟังว่าเจ้าหน่อเมืองไม่เคยกลับมาอีกเลยตามคำสัญญา หลังจากเหตุการณ์ร้ายผ่านพ้นไป หน่อเมืองยังคงมุ่งมั่นสืบสานปณิธานของบรรพบุรุษที่จะทำให้เชียงเงินเป็นรัฐอิสระ เขาจึงเข้าร่วมกับกลุ่มของ พญาปราบสงคราม หรือ พญาผาบ ก่อการกบฏต่อสยามแต่กลับพ่ายแพ้ หน่อเมืองเสียชีวิตขณะเดินทางไปรับโทษกบฏที่สยาม ศุขวงศ์ให้ลูกชายดูภาพถ่ายของแม้นเมืองตัวจริง หลักฐานเกี่ยวกับการมีตัวตนของเจ้าแม้นเมืองเพียงชิ้นเดียวที่เขาไม่อาจตัดใจทิ้ง พร้อมกับให้ลูกชายสัญญาว่าขอให้เรื่องราวความรักของพ่อแม่ตายไปพร้อมกับตัวเขา และขอให้เผารูปของแม้นเมืองไปพร้อมกับศพของเขาเมื่อถึงแก่ชีวิต