เอ๊ะ ศศิกานต์

ตั้งแต่แต่งงานกับ “ดอมินิก ลีออง” ก็หายหน้าหายตาไปพักใหญ่ๆ สำหรับ “เอ๊ะ ศศิกานต์ อภิชาตวรศิลป์” คาดว่าช่วงที่หายไปคงแพลนมีน้องแน่ๆ แต่ล่าสุดเห็นสาว “เอ๊ะ” กลับมารับงานละครและงานอีเว้นท์มากขึ้นแล้ว พอได้เจอตัว “เอ๊ะ” ในงาน The Magic of Christmas 2015 เปิดไฟต้นคริสต์มาสศูนย์การค้าพาร์คเลน ศูนย์การค้าพาร์คเลน เอกมัย ก็เลยจับตัวมาสอบถามกันเสียหน่อย ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่า…

“เดี๋ยวได้ดูละครค่ะ เล่ห์รักกลลวงกับทางเอ็กแซ็กท์ คิดว่าต้นปีน่าจะได้เห็น ก็น่าจะเป็นละครเต็มตัวครั้งแรกหลังจากไม่ได้เล่นประมาณ 5-6 ปี ครั้งนี้ก็ครั้งแรกเลย ก็ไม่กดดันอะไรค่ะ มีวันแรกๆ ที่ยังไม่เข้าที่ จำบทไม่ได้บ้าง นิดๆ หน่อยๆ แต่พอผ่านไปสองวันก็เริ่มเข้าที่ แล้วเริ่มคุ้นเคยกันไม่ว่าจะ พี่ป๊อก ปิยธิดา พี่วิลลี่ แมคอินทอช หรือน้องๆ คนอื่นๆ เคาะสนิมไหมก็อย่างที่บอกวันแรกๆ อาจจะนิดหนึ่ง แต่พอหลังจากนั้น ประสบกาณณ์ต่างๆ เริ่มหวนกลับมาก็ทำได้ไม่มีปัญหาอะไร ก็ไม่เชิงกลับมารับงานมากขึ้นค่ะ เอ๊ะว่ามันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วยมั้งคะ อย่างเรื่องนี้เอง ก็ใช้เวลาไม่เยอะมาก ไม่คิดว่าตอนแรกจะเสนอชื่อเราแล้วผ่าน พอผ่านก็แบบเอาก็เอา สนุกดีค่ะ เหมือนเราเครียดมาจากการทำงานพอมาเล่นละครก็คลายเครียด”

“ส่วนเรื่องลูกก็ยังปั้มอยู่ค่ะ (หัวเราะ) เล่นละครก็ปั้มได้ ปั้มตลอด(หัวเราะ) เรื่องทำกิ๊ฟต์ก็ทำแค่ครั้งเดียวค่ะ ทำตอนถ่ายละครอยู่นี่แหละ ก็ขอเขาเว้นไปพักหนึ่งแล้วไปทำต่อ พักไปสองอาทิตย์แล้วกลับมาใหม่ พอรู้ผลว่าไม่ท้องแล้วก็กลับมาทำงานปกติค่ะ ตอนนี้คุณสามีไม่ได้อยู่เมืองไทย เขาอยู่นิวยอร์ก ก็อาจจะบินไปหาเขา ก็ใช้เวลานี้ ใช้วิธีธรรมชาติเอา”

“ไม่ท้อหรอกค่ะ อย่างที่บอกอยากพยายามที่สุดก่อนเท่าที่เวลาช่วงนี้หรือร่างกายอำนวย จนกว่าจะถึงเวลาที่หมอบอกว่าไม่ไหวแล้ว อย่าพยายามเลยก็จะหยุด ไม่อยากมานั่งเสียใจทีหลังว่าทำไมเราไม่พยายามให้เต็มที่ก่อน จริงๆ เรื่องสุขภาพก็ร้อยเปอร์เซ็นต์นะ เอ๊ะว่าเป็นเรื่องของอายุด้วยแหละ ผู้หญิงเราพออายุมากๆ ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นดาวน์ซินโดรมเป็นอะไรแบบนี้ ได้เยอะกว่าคนที่เด็กกว่า เพราะฉะนั้นก็ไม่เป็นไร เรารับสภาพเพราะเราแต่งงานช้า ยังห่วงทำงาน ก็เป็นเรื่องธรรมดา”

“คือหลังจากที่ลองทำวิทยาศาสตร์ไปแล้ว เอ๊ะว่าการทำแบบธรรมชาติดีกว่าเยอะนะ ไม่ต้องใส่เคมีหรืออะไรในร่างกายเราเยอะๆ เราอยากพยายามแบบธรรมชาติต่ออีกหน่อย ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ อาจกลับมาวิทยาศาสตร์ซักรอบหนึ่ง หลังจากกลับจากนิวยอร์กเราคงไปเรื่อยๆ หาเวลาหยุดพักงานบ้าง ให้เวลากับเรื่องนี้เต็มที่เพราะคงเหลือเวลาอีกสัก 2-3 ปีที่จะสามารถมีลูกได้”

“สามีเขาก็ไม่ว่าอะไร คือระหว่างที่รอผลมันมีเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนค่อนข้างเยอะ เราก็จะร้องไห้ โน่นนี่นั่น เขาก็เข้าใจแหละว่านี่คือการเปลี่ยนแปลงของร่างกายจริงๆ ก็ให้กำลังใจกัน เขาบอกว่าเขาไม่อยากทำให้เราเครียดว่าทำยังไงถึงจะมีลูกให้ได้ เขาก็ให้กำลังใจ มันเป็นไปเองโดยธรรมชาติ คือตอนแรกที่ฟังคนอื่นเล่า เขาก็บอกว่ามันเป็นช่วง 10 วันที่รอผลมันจะเครียดมาก เราก็แบบ เหรอ..มันก็ไม่น่านะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ เครียดเหมือนกัน เครียดโดยเราไม่รู้ตัว มันลุ้นค่ะ เพราะตอนท้องธรรมชาติเราจะไม่รู้ว่ามันจะปฏิสนธิเมื่อไร มีตัวอ่อนอยู่ในร่างกายเราหรือยัง แต่อันนี้มันเหมือนรู้ทุกสเตป เอาหละผสมกันแล้วนะ 5 วันแล้วนะ จะติดไหม ทุกอย่างมันลุ้นไปหมด มันเลยเป็นธรรมดาที่ทุกคนน่าจะเป็นเหมือนกัน ต้องบอกว่าผู้หญิงเราเข้มแข็งมากเลยนะ”

“เขาให้กำลังใจตลอดค่ะ เขาเป็นสามีที่น่ารักมากเพราะเขาไม่อยากกดดันอะไรเรา ก็พยายามเต็มที่แหละได้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เราก็แบบ เลี้ยงหมาแทนไหม(หัวเราะ) เขาก็บอกว่าให้ลองพยายามให้สุดก่อน เรื่องนำเด็กมาเลี้ยงคงไม่ค่ะ ถ้าจะมีขอมีลูกของตัวเองดีกว่าเนอะ มีคนบอกเหมือนกันว่าให้ใครไปอุ้มท้องให้สิ ถ้าจะมีคงมีเองดีกว่า แต่ถ้ามีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร คิดแบบนั้นมากกว่า”


ขอขอบคุณข่าวจาก