โรคเอดส์

โรคเอดส์ AIDS เกิดจากเชื้อไวรัส HIV

โรคเอดส์ เป็นโรคที่ติดต่ออันตรายถึงชีวิต ขณะนี้ยังไม่มีวิธี หรือยาที่จะรักษาให้หายได้ โรคเอดส์ ( AIDS = Acquired Immune Deficiency Syndrome ) คือ โรคที่เกิดจาก ภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อม หรือบกพร่อง ทำให้ร่างกาย ไม่มีภูมิต้านทานโรคต่างๆ ฉะนั้น เชื้อโรคที่อยู่รอบตัวเราจึงสามารถก่อเกิดโรคต่างๆ ที่มีอาการรุนแรงต่อเราได้ง่าย และในที่สุดร่างกายทนไม่ไหว เราก็เสียชีวิต

* AIDS เป็นชื่อย่อของโรคเอดส์ หมายถึง กลุ่มอาการที่เกิดจากภูมิคุ้มกันเสื่อมลงมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส HIV

Acquired = เกิดขึ้นภายหลัง

Immune = ภูมิคุ้มกัน

Deficiency = เสื่อมลง

Syndrome = กลุ่มอาการ

โรคเอดส์เกิดจากสาเหตุอะไร
โรคเอดส์ เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า (HIV – Human Immuno – deficiency Virus ) หรือเรียกง่ายๆว่า ไวรัสเอดส์ เข้าไปทำลายภูมิคุ้มกัน หรือภูมิต้านทานของร่างกาย ให้เสื่อม หรือหมดสภาพไปจนเป็นสาเหตุให้ร่างกายของคนนั้นอ่อนแอ มีอาการเจ็บป่วยบ่อยๆ ป่วยเป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่หาย และในที่สุด ก็ตายด้วยโรคเรื้อรังนั้นๆ

* HIV ย่อมาจากชื่อของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคเอดส์

Human = มนุษย์

Immunodeficiency = ภูมิคุ้มกันเสื่อมลง

Virus = เชื้อไวรัส

อาการ
ผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเอดส์แล้วจะปรากฏอาการต่างๆ 3 ระยะ คือ

ระยะที่ 1 : ระยะที่ไม่มีอาการอะไร
ภายใน2-3 อาทิตย์แรกหลังจากได้รับเชื้อเอดส์เข้าไป ราวร้อยละ 10 ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายๆ ไข้หวัด คือมีไข้ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมน้ำเหลืองโต ผื่นตามตัว แขน ขาชาหรืออ่อนแรง เป็นอยู่ราว 10-14 วันก็จะหายไปเอง ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจไม่สังเกต นึกว่าคงเป็นไข้หวัดธรรมดาราว 6-8 สัปดาห์ภายหลังติดเชื้อ ถ้าตรวจเลือดจะเริ่มพบว่ามีเลือดเอดส์บวกได้ และส่วนใหญ่จะตรวจพบว่ามีเลือดเอดส์บวกภายหลัง 3 เดือนไปแล้ว โดยที่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการอะไรเลยเพียงแต่ถ้าไปตรวจก็จะพบว่ามีภูมิคุ้นเคยต่อไวรัสเอดส์อยู่ในเลือดหรือที่เรียกว่าเลือดเอดส์บวกซึ่งแสดงว่ามีการติดเชื้อเอดส์เข้าไปแล้วร่างกายจึงตอบสนองโดยการสร้างโปรตีนบางอย่างขึ้นมาทำปฏิกิริยากับไวรัสเอดส์เรียกว่าแอนติบอดีย์(antibody)เป็นเครื่องแสดงว่าเคยมีเชื้อเอดส์เข้าสู่ร่างกายมาแล้วแต่ก็ไม่สามารถจะเอาชนะไวรัสเอดส์ได้คนที่มีเลือดเอดส์บวกจะมีไวรัสเอดส์อยู่ในตัวและสามารถแพร่โรคให้กับคนอื่นได้ น้อยกว่าร้อยละ 5 ของคนที่ติดเชื้ออาจต้องรอถึง 6 เดือนกว่าจะมีเลือดเอดส์บวกได ดังนั้นคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงมา เช่น แอบไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา โดยไม่ได้ใส่ถุงยางอนามัยป้องกัน ตรวจตอน 3 เดือน แล้วไม่พบก็ต้องไปตรวจซ้ำอีกตอน6เดือนโดยในระหว่างนั้นก็ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์กับภรรยาและห้ามบริจาคโลหิตให้ใครในระหว่างนั้นผู้ติดเชื้อบางรายอาจมีต่อมน้ำเหลืองตามตัวโตได้โดยโตอยู่เป็นระยะเวลานานๆ คือเป็นเดือนๆ ขึ้นไป ซึ่งบางรายอาจคลำพบเอง หรือไปหาแพทย์แล้วแพทย์คลำพบ ต่อมน้ำเหลืองที่โตนี้มีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ แข็งๆ ขนาด1-2 เซนติเมตร อยู่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านข้างคอทั้ง 2 ข้าง(รูปที่ 2) ข้างละหลายเม็ดในแนวเดียวกัน คลำดูแล้วคลายลูกประคำที่คอไม่เจ็บ ไม่แดง นอกจากที่คอต่อมน้ำเหลืองที่โตยังอาจพบได้ที่รักแร้และขาหนีบทั้ง 2 ข้าง แต่ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบมีความสำคัญน้อยกว่าที่อื่นเพราะพบได้บ่อยในคนปกติทั่วไป ต่อมน้ำเหลืองเหล่านี้จะเป็นที่พักพิงในช่วงแรกของไวรัสเอดส์ โดยไวรัสเอดส์จะแบ่งตัวอย่างมากในต่อมน้ำเหลืองที่โตเหล่านี้

ระยะที่ 2 : ระยะที่เริ่มมีอาการหรือระยะที่มีอาการสัมพันธ์กับเอดส์
เป็นระยะที่คนไข้เริ่มมีอาการ แต่อาการนั้นยังไม่มากถึงกับจะเรียกว่าเป็นโรคเอดส์เต็มขั้น อาการในช่วงนี้อาจเป็นไข้เรื้อรัง น้ำ หนักลด หรือท้องเสียงเรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ นอกจากนี้อาจมีเชื้อราในช่องปาก(รูปที่ 3), งูสวัด(รูปที่ 4), เริมในช่องปาก หรืออวัยวะ เพศ ผื่นคันตามแขนขา และลำตัวคล้ายคนแพ้น้ำลายยุง(รูปที่ 5) จะเห็นได้ว่า อาการที่เรียกว่าสัมพันธ์กับเอดส์นั้น ไม่จำเพาะสำหรับโรคเอดส์เสมอไป คนที่เป็นโรคอื่นๆ ก็อาจมีไข้ น้ำหนักลด ท้องเสีย เชื้อราในช่องปาก งูสวัด หรือเริมได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าถ้ามีอาการเหล่านี้จะต้องเหมาว่าติดเชื้อเอดส์ไปทุกร้าย ถ้าสงสัยควรปรึกษา แพทย์และตรวจเลือดเอดส์พิสูจน์

ระยะที่ 3 : ระยะโรคเอดส์เต็มขั้น หรือที่ภาษาทางการเรียกว่าโรคเอดส์
เป็นระยะที่ภูมิต้านทานของร่ายกายเสียไปมากแล้วผู้ป่วยจะมีอาการของการติดเชื้อจำพวกเชื้อฉกฉวยโอกาสบ่อยๆและเป็นมะเร็งบางชนิดเช่นแคโปซี่ซาร์โคมา(Kaposi’ssarcoma)และมะเร็งปากมดลูก การติดเชื้อฉกฉวยโอกาสหมายถึงการติดเชื้อที่ปกติมีความรุนแรงต่ำไม่ก่อโรคในคนปกติแต่ถ้าคนนั้นมีภูมิต้านทานต่ำลงเช่นจากการเป็นมะเร็งหรือจากการได้รับยาละทำให้เกิดวัณโรคที่ปอดต่อมน้ำเหลืองตับหรือสมองได้ รองลงมาคือเชื้อพยาธิที่ชื่อว่านิวโมซิส-ตีส-คารินิไอ ซึ่งทำให้เกิดปอดบวมขึ้นได้(ไข้ ไอ หายใจเหนื่อยหอบ) ต่อมาเป็นเชื้อราที่ชื่อ คริปโตคอคคัสซึ่งทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีอาการไข้ ปวดศีรษะ ซึมและอาเจียน นอกจากนี้ยังมีเชื้อฉกฉวยโอกาสอีกหลายชนิด เช่นเชื้อพยาธิที่ทำให้ท้องเสียเรื้อรัง และเชื้อซัยโตเมก กะโลไวรัส (CMV) ที่จอตาทำให้ตาบอด หรือที่ลำไส้ทำให้ปวดท้อง ท้องเสีย และถ่ายเป็นเลือดเป็นต้นในภาคเหนือตอนบน มีเชื้อราพิเศษ ชนิดหนึ่งชื่อ เพนนิซิเลียว มาร์เนฟฟิโอ ชอบทำให้ติดเชื้อที่ผิวหนัง(รูปที่ 6) ต่อมน้ำเหลืองและมีการติดเชื้อในกระแสโลหิตแคโปซี่ ซาร์โค มา เป็นมะเร็งของผนังเส้นเลือด ส่วนใหญ่จะพบตามเส้นเลือดที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีม่วงๆ แดงๆ บนผิวหนัง คล้ายจุดห้อเลือด หรือไฝ ไม่เจ็บไม่คันค่อยๆ ลามใหญ่ขึ้น ส่วนจะมีหลายตุ่ม(รูปที่ 7) บางครั้งอาจแตกเป็นแผล เลือดออกได้ บางครั้งแคโปซี่ซาร์โคมา อาจเกิดในช่องปากในเยื่อบุทางเดินอาหาร ซึ่งอาจทำให้มีเลือดออกมากๆ ได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งปากมดลูกได้ ดังนั้นผู้หญิงที่ติดเชื้อเอดส์จึงควรพบแพทย์เพื่อตรวจมะเร็งปากมดลูกทุก 6 เดือน นอกจากนี้คนไข้โรคเอดส์เต็มขั้นอาจมีอาการทางจิตทางประสาทได้ด้วยโดยที่อาจมีอาการหลงลืมก่อนวัย เนื่องจากสมองฝ่อเหี่ยว หรือมีอาการของโรคจิต หรืออาการชักกระตุก ไม่รู้สึกตัว แขนขาชาหรือไม่มีแรง บางรายอาจมีอาการปวดร้าวคล้ายไฟช๊อตหรือปวดแสบปวดร้อน หรืออาจเป็นอัมพาตครึ่งท่อน ปัสสาวะ อุจจาระไม่ออก เป็นต้น ในแต่ละปีหลังติดเชื้อเอดส์ร้อยละ 5-6 ของผู้ที่ติดเชื้อจะก้าวเข้าสู่ระยะเอดส์เต็มขั้นส่วนใหญ่ของคนที่เป็นโรคเอดส์เต็มขั้นแล้ว จะเสียชีวิตภายใน2-4 ปี จากโรคติดเชื้อฉกฉวยโอกาสที่เป็นมาก รักษาไม่ไห หรือโรคติดเชื้อที่ยังไม่มียาที่จะรักษาอย่างได้ผล หรือเสียชีวิตจากมะเร็งที่เป็นมากๆ หรือค่อยๆ ซูบซีดหมดแรงไปในที่สุด พบว่ายาต้านไวรัสเอดส์ที่ใช้กันอยู่ในขณะนี้ในประเทศตะวันตกสามารถยืดชีวิตคนไข้ออกไปได้10 – 20 ปีและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หรืออาจอยู่จนแก่ตายได้

การติดต่อ
เชื้อเอดส์ติดต่อได้ 3 ทาง ได้แก่

ทางเลือด โดยเชื้อโรคอาจเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล เข็มฉีดยา รอยสัก เยื่อบุบาง ๆ เช่น เยื่อบุช่องปาก เยื่อบุตา ฯลฯ
ทางเพศสัมพันธ์ เชื้อเอดส์สามารถซึมผ่านเยื่อบุท่อปัสสาวะและช่องคลอดได้ โดยไม่ต้องมีแผลหรือรอยถลอก ปาก คอ รวมทั้งเยื่อบุทวารหนักด้วย
จากแม่สู่ลูกในครรภ์ ซึ่งไม่ได้ติดเชื้อทุกราย ลูกจะติดเชื้อจากแม่เพียง 25-30% เท่านั้น และถ้าป้องกันด้วยการใช้ยา การติดเชื้อจากแม่จะลดลงเหลือประมาณ 8-10% เท่านั้น

เอดส์ไม่ติดต่อทางใด
ไม่ติดต่อกันโดยการสัมผัสธรรมดา เช่นการกอด การจับมือ การใส่เสื้อผ้าร่วมกัน การรับประทานอาหารร่วมกัน การว่ายน้ำในสระเดียวกัน ใช้ห้องน้ำร่วมกัน การใช้โทรศัพท์ร่วมกัน และไม่แพร่โดยยุง

วิธีการป้องกัน
การติดต่อทางเลือด ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ใส่ถุงมือทุกครั้งถ้าต้องสัมผัสกับเลือดน้ำเหลือง น้ำหนอง
การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีเพศสัมพันธ์กับคู่สามี ภรรยาของตนเท่านั้น และต้องป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยที่มีคุณภาพดี และถูกวิธีอย่างถูกต้องทุกครั้ง ที่มีเพศสัมพันธ์
การป้องกันการติดต่อจากแม่สู่ลูกในท้อง ต้องมีการเตรียมตัวก่อนแต่งงานโดยการตรวจสุขภาพและตรวจเลือด หญิงที่มีเลือดบวกเอดส์ ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ เพราะทารกอาจติดเชื้อไวรัสเอดส์จากมารดา

การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด มีแต่ตัวยาที่ใช้หยุดยั้งการเจริญของเชื้อไวรัสเอดส์ พยุงไว้ไม่ให้อาการเลวลงไปชั่วคราวแต่ในที่สุดก็ต้องตายความหวังในการรักษาให้หายขาดจึงยังไม่มีในปัจจุบัน

วันเอดส์โลก
วันที่ 1 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้เป็น วันเอดส์โลก

วัตถุประสงค์ของวันเอดส์โลก
1. เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงอันตรายจากการติดต่อและการเจ็บป่วยด้วยโรคเอดส์
2. เพื่อสร้างเสริมและสนับสนุนให้มีมาตรการการป้องกันให้มากยิ่งขึ้นในสังคมทุกระดับ
3. เพื่อให้มีการจัดกิจกรรมต่อต้านต่างๆ ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
4. เพื่อส่งเสริมให้เกิดการยอมรับและห่วงใยต่อผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อ
5. เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น